กลายเป็นเรือธงรุ่นสุดคุ้มกันไปแล้ว
หลังจากการปรับราคารอบล่าสุดของ LG Optimus G ที่มาเปิดตลาดตั้งแต่ต้นปีสำหรับค่าย LG
มาดูกันว่ารุ่นเรือธงของค่ายนี้ มีดีอะไรที่จะฟัดเหวี่ยงในสมรภูมิสมาร์ทโฟนกันบ้าง
ก่อนจะอ่านบรรทัดถัดๆไป
ผมเคยเขียนถึง LG Optimus G แบบแรกสัมผัสไปแล้วประมาณนึง
ย้อนกลับไปอ่านกันก่อนได้ ที่นี่ เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหานะครับ
สำหรับใครที่อ่านจบแล้วก็มาว่ากันต่อ
ในเรื่องของกล้องที่ติดมากับ LG Optimus G
นั่นเป็นความละเอียด 13ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED
แต่ตัวเลนส์มันจะนูนขึ้นมานะครับ ต้องคอยหมั่นเช็ดนิดนึง
พอเลื่อนสายตาลงมาดูด้านล่าง การเห็นเห็นน็อตที่ตำแหน่งนี้นี่ไม่ต้องสืบเลยนะครับ
ว่ารุ่นนี้ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่เองไม่ได้ง่ายแน่ๆ
ก็ทำนองเดียวกับ LG Nexus 4 ครับ
ส่วน Sim ก็คือใช้เจ็มจิ้มด้านข้างเพื่อเอา Sim Card ออก ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็น Micro Sim
ดูจากภาพถ่ายอาจจะมองดูว่าฝาหลังก็เป็นพลาสติคธรรมดา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมีเกล็ดเลื่อมๆอยู่ด้านใน แบบที่เค้าเรียกว่า Crystal Reflection
ถ้าใครเคยมี LG Nexus 4 น่าจะนึกภาพออก
แต่เกล็ดมันคนละแบบนะครับ และฝาหลัง LG Optimus G ดูจะแข็งแรงกว่าหลายขุม
แต่ก็ไม่เหมาะกับการทำตกหล่นพื้นแน่ๆ
ถ้ามีการจัดประเภทของ Smart Phone รุ่นที่ถ่ายรูปไม่ขึ้น
ถ่ายรูปดูธรรมดาแต่ของจริงดูดีกว่าภาพถ่าย โดยเฉพาะตอนอยู่ใต้แสงไฟ
LG Optimus G ก็คงอยู่ในจำพวกนั้นกับเขาด้วย เอาเป็นว่าอยากให้ลองจับของจริงดูก่อนครับ
ส่วนกล้องหน้าของ LG Optimus G นั้นมากับความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซลครับ
มาดูเรื่องของ UI บ้าง สัมผัสแรกที่รู้สึกได้คือ มันลื่นกว่า LG Nexus 4 ในราคาเท่ากันเสียอีก
ไม่ใช่ว่าจะเปรียบเทียบอะไร เพราะยังไงเครื่องต่อไปที่ผมเล็งไว้ซื้อใช้เอง คือ Nexus 4 .
UI หน้าจอหลัก ของ LG Optimus G ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนครับ
คือถ้าใครเคยจับรุ่นก่อนหน้าแบบ LG Optimus 4x ก็มาแนวๆ เดียวกัน
แอพลิเคชั่นที่ LG แถมมานั้น ออกแนวเรียบง่ายสมัยนิยม แต่ที่ดูพิเศษจนต้องแนะนำ
ในความคิดของผมนั้น หลักๆ คือ Safety Care , Quick Translator กับ Video Editor นี่แหล่ะ
กลับมาดูในแง่มุมของการเป็นโทรศัพท์ก่อน
จากที่ลองจับ LG Optimus G แล้วมีความเห็นเห็นต่างกับในโฆษณาที่เค้าพยายามสื่อสารอยู่พอสมควร
ผมมองว่าลึกๆ LG Optimus G เป็นรุ่นเรืองธงที่เรียบง่ายมาก
พยายามกลับสู่พื้นฐานการเป็นโทรศัพท์ Smart Phone ที่ตอบโจทย์การใช้งานประจำวัน
– Save Unknow Numbers
หลายครั้งที่มีคนได้เบอร์เรามา หรือเราเพิ่งให้เบอร์ใคร แล้วเค้าเพิ่งโทรกลับมา
แน่นอนว่ามันไม่ได้มีอยู่ใน Contact ดั้งเดิม บางทีเราเผลอลบ Call Log ทิ้งไป
คุณสมบัตินี้ช่วยได้ครับ เพราะจะบันทึกลง Cantact ให้อัตโนมัติ
– Decline with message ข้อความตอบกลับเวลาเราไม่สะดวกรับสาย (อันนี้เครื่องอื่นก็มี แต่ขอเขียนไว้หน่อย)
– Privacy Keeper เชื่อเถอะครับ ว่าเวลาเราอยู่กับเพื่อน หรือมีคนูรู้จักบางคนที่ชอบเสนอหน้าว่าเราคุยอยู่กับใคร
โดยไม่ได้รู้มารยาทเป็นเรื่องที่น่าเบื่อครับ หัวข้อนี้ช่วยได้ระดับนึง คือจะแสดงแค่เบอร์ หรือไม่ขึ้นข้อมูลเลย
กลับมาดูที่หน้าเบอร์โทรกันบ้าง
ในหน้าปุ่มอาจจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าลองกดที่ปุ่ม SMS ดู
ในส่วนของ Keyboard ที่ติดมากับเครื่องนั้น สามารถเลือกที่จะเขียนได้ด้วยลายเส้นโดยแอพลิเคชั่นจะเปลี่ยนลายเส้นเป้นตัวอักษร
ซึ่งแน่นอนว่า มันรอกงรับตั้งแต่ตัวเลข ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
แต่ต้องเรียนรู้การเขียนกันนิดหน่อย และพยายามเขียนให้มันติดกันนะครับ
ในหน้า Status ที่ปรกติเราปาดลากมาจะปรากฎแค่ Task ทีเปิดคาไว้ หรือว่าจะเป้น Memu Setting ปรกติ
คราวนี้ LG ซ่อนของไว้ในนี้เพียบครับ จะว่ามันสะดวกดีก็ใช่ แต่ถ้าใครเคยชินกับกับการเข้าไปความในหน้าแอพ
หรือว่าการ Setting บอกตรงๆ ว่าตอนแรกที่เปิดมาก็แอบงงครับมึนๆ นิดนึง เลยต้องอธิบายเพื่อความเข้าใจกันก่อน
คือ ด้านบนโดยการทำงานหลักๆ ยังคงเป็นเรื่องของ Setting ทั่วไปอย่างที่ผู้ใช้ Android คุ้นเคยกัน
Vibrate WiFi Sync GPS ที่ต่างออกไป คือ
– Miracast
– Quick Memo
– Power Saver ส่วนตัวโปรดปรานอันนี้นิดนึง
เพราะ LG ชูดจุดขายเรื่องการบริหารการใช้พลังงานของโทรศัพท์ไว้เยอะ
คือมันจะไปดูแลการใช้พลังงานของ CPU แล้วการใช้งานจริงก็หวังผลได้ค่อนข้างดี คือใช้งานต่อวันได้นานขึ้นนิดนึง
ใน Q Slide App ผมไม่แน่ใจนักนะว่าคำว่า “Q” ของ LG นั้นหมายถึงคำว่า Quick หรือเปล่า
แต่มันก็ดู Quick จริงๆ นั่นแหล่ะ
คือจะเป็นแอพตัวเล็กใช้ง่าย อย่างWeb Browser ,Calculator ,Memo ,Video
นึกภาพที่คุณนั่งทำงานบนโต๊ะ แล้วมีกระดาษสารพัดวางใกล้ๆ มือ นี่ก็อารมณ์เดียวกัน
แต่ด้วยความที่เป็นโทรศัพท์ LG ก็เลยทำให้มันโปรงแสงได้ ส่วนตัวผมชอบความใสใจในเรื่องจุ๊กจิ๊กแบบนี้นะ
ในตัวของแอพ Memo นั้น สามารถขายให้เต็มหน้าจอเหมือนแอพปรกติทั่วไปได้ เพราะมันไม่ใช่ Widget
ซึ่งในตัวแอพ Memo นั้น ถ้าใช้กับแป้นพิมพ์เดิมๆ ที่ติดมากับเครื่องก็ยังสามารถใช้นิ้วในการป้อนข้อมูลเป็นภาษาไทยได้
ซึ่งการป้อนข้อมูลนั้น ถ้ามีวรรณยุกต์ก็ควรเขียนให้ติดกันแบบม้วนเดียวจบนะครับ เพื่อให้ระบบสามารถถอดความได้
แต่อาจจะต้องทำความคุ้นเคยกันนิดหน่อย เพราะพื้นที่หน้าจอในการใช้นิ้ววาดลงไปได้นั้น มันไม่ได้มีเยอะ
มาถึงตัวที่เป็นพระเอกหน่อย สำหรับเรื่องกระจุ๊กกระจิ๊ก นั่นคือ Quick Memo
เหมือนเทรนด์ในการบันทึกข้อมูลจะเริ่มตีกลับมาที่ธรรมชาติให้เราติดตัวกันมานั่นคือ “นิ้ว”
LG ก็เลยมีแอพตัวนี้เป็นตัวชูโรงคือ “Quick Memo”
Quick Memo จะว่าไปมันคือภาคขยายของ Memo ปรกติ คือ
การวาดลายเส้นด้วยนิ้วได้เลยบนหน้าจอโทรศัพท์
เหมือนคุณมีกระจกใสขึ้นมาให้คุณวาดได้ที่เรียกว่า “Overlay”
แน่นอนล่ะครับ คือการวาดอะไรบนหน้าจอก็มีความเสี่ยง
ที่มือของเราจะไปโดนปุ่มต่างๆบนเครื่องทีจะนำพาเราไปหน้าจออื่น
ในแอพ Quick Memo จะมีปุ่มล็อคปุ่มกดหน้าจอของเครื่องที่ด้านล่างซ้ายมือ
การใช้งาน Quick Memo นั้น
นอกจากเขียนหน้าจอการใช้งานปรกติแล้ว ยังสามารถสลับไปที่หน้าจอแบบกระดาษจดได้
รวมถึงการเปลี่ยนแปลง เรื่องของหัวปากกาหรือว่าสี และนอกจากการวาดบนหน้าจอแล้ว
ก็ยังสามารถส่งต่อไปยีงแอพลิเคชั่นอื่นๆ เหมือนแอพลิเคชั่นบนแอนดรอยด์ปรกติครับ
มีแอพอีกตัวนึงอันนี้ผมเรียกว่าของแถมละกัน..นั่นคือ Notebook
ซึ่งแอพ Notebook คือ Memo ดีๆนี่แหล่ะ
แต่นอกจากเปลี่ยนปากกากได้แล้ว ยังมีแปะสติ๊กเกอร์น่ารักได้
ในองค์ประกอบอื่นๆได้ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ใส่เพลงลงไปได้ ใส่เสียงลงไปได้
ใส่พิกัดได้ บันทึกวันที่ลงไปได้
มาดูในเรื่องของการจัดการเรื่องแอพในเครื่องบ้าง
จะมีตัวช่วย 2 อย่างคือ Application Manager
สำหรับจัดการเรื่องการอัพเดทแอพในเครื่องแบบง่ายๆ หรือจัดการถอดทิ้งซะ
และการสำรองข้อมุลด้วยแอพ BackUp ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำของเครื่อง
อันนี้ผมแอบแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมค่ายนี้ไม่สนใจทำเป็น Cloud แบบเจ้าอื่นบ้าง
มาดูในเรื่องกล้องกันหน่อย ซึ่งอันนี้เป็นพระเอกของ LG Optimus G และรุ่นอื่นที่จะกำลังจะตามมาในระดับเรือธง
จะเรียกว่าเป็จุดชี้เป็นชี้ตายก็น่าจะได้
จากภาพแรกคงจะเห็นนะครับว่า LG ใช้การนำทางแบบ Short Cut ซึ่งมันก็ดูสะดวกดี
เพราะเลือกเองได้จาก Quick Menuแต่ก็นั่นล่ะ มันจะง่ายสำหรับ|
คนที่ว่าตัวเองต้องการอะไรจากการใช้กล้องบนโทรศัพท์
ซึ่งมันดูขัดๆ จาก UI อื่นๆ ที่ LG ทำออกมาให้ใช้ค่อนข่างสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกคน
แต่ถ้าอันที่ใช้กันจริงๆ มันจะไปแอบใน Setting ครับ
ซึ่งหลักๆก็จะมีเรื่องของ ขนาดภาพ การซูมเข้า-ออก การโฟกัส การเปิดปิดไฟแฟลชหรือว่า Scence Mode
ทำไมผมถึงบอกว่า LG ในเรื่องกล้องนี่ ถึงจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ในระดับนึง
ลองดูตัวเลือกคงพอทราบได้ ซึ่งโดยปรกติแล้วเจ้าอื่นเค้าจะให้เมนูแบบ Slide
ซึ่งมันจะง่ายกว่าในการของรวมทุกอย่างเข้าหาศูนย์แล้วปาดลากนิ้ว
แต่มันก็ไม่สะดวกเท่าไหร่สำหรับอะไรที่เราใช้บ่อยๆ สำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
เมื่อเทียบกับการใช้ Short Cut อันนี้อยู่ที่ความชอบแล้วนะครับ
เพราะอย่างตอนทดสอบถ่าย Panorama กล้องของ LG Optimus G ก็ไม่ได้มีตัวช่วยยิบย่อย
จะให้เรากวาดภาพทีเดียว ซึ่งต้องอาศับปรสกบการณืและทักษะในการถือประมาณนึงเลยล่ะ
แต่ซอฟท์แวร์ก็ฉลาดดี
ถึงกล้องใน LG Optimus G จะดูโปรสำหรับคนทั่วไปสักหน่อย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีลูกเล่นสำหรับมนุษย์ปรกติ
อันนี้คุณสมบัติสมัยนิยมเลยครับกับ Beauty Mode สำหรับใช้กล้องหน้าถ่ายสวยๆ
ปรับความเนียนได้เล็กน่้อย ไม่ถึงกับหลอกตาเบ้าหน้าเป็นพลาสติค
แต่ของผมต้องปรับความเกรียนบนใบหน้าเพิ่มซะละมั้ง
มาดูอีกอันที่แลดูเปHนคุณสมบัติที่ไม่คิดว่าจะมีมาให้ เพราะความน่ารักมันขัดแย้งกับเมนูกล้องมาก
นั่นคือ Cheese Shutter ถ้าในการถ่ายรูปเคยมมีคนบอกคุณว่า ให้พูดคำว่า “ชีส” แล้วหน้าคุณจะยิ้มยิงฟันออกมาดูดี
นี่ก็แบบเดียวกัน
อันนี้ผมทดลองดู ถ้าอยุ่ในสถานที่ไม่พลุกพล่านมากเช่นในห้อง
เฮ้ย…อันนี้ใช้ได้จริงนะครับ อย่างน้อยก็ดีกว่า Smile Shot ที่ชอบแถมกันจังแต่พึ่งอะไรไม่ค่อยได้
ผมลองเปล่งเสียงคำว่า “ชีส” มันก็ถ่ายให้เป็นที่เรียบร้อยดี
แต่ถ้าถ่ายในร้าน หรือกลัวหน้าไม่เป๊ะ ก็กดถ่ายรูปแบบเดิมก็แล้วกัน ฮ่า
ในการ Focus ของ Optimus G นั้น
ตัววโหมดกล้องจะทำงานแบบอัติโนมัติโดยทำการวัดแสง
และโฟกัสตรงกลางภาพตื้ดๆคล้ายกลับกล้องดิจิทัล
ด้วยความที่เลนส์หลังมันปูด และอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสโดนนิ้วเราจากการใช้งานทั่วไป
ถ้าถ่ายมากแล้วมันตุ่นๆ ขุ่นๆ โฟกัสช้าๆ ถ่ายมาแสงอย่างฟุ้ง
ให้ทำความสะอาดเลนส์ก่อนเลยครับ
ในส่วนของ Time Catch Shot นั้น จะเหมาะกับภาพเคลื่อนไหว
คือจะจับภาพให้แล้วแยกเป็นช็อตๆ แล้วให้เลือกรูปที่ดีที่สุด
ในเรื่องของ Scence Mode ให้มาน้อยไปนิด คือมีถ่ายภาพทั่วไป ภาพวิว ภาพบุคคล ภาพกีฬา
ภาพพระอาทิตย์ตก และภาพกลางคืน ส่วน ISO สูงสุดก็ 100-400
ดูตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ LG Optimus G ได้ ที่นี่ ครับ
มาดูเรื่องของภาพเคลื่อนไหวกันบ้าง
แอพตัดต่อที่ติดมากับ LG Optimus G นั่นจะว่าไปก็ไม่ขี้เหร่นัก
อย่างน้อยก็ทำงานจริงได้ประมาณนึงล่ะคือในชุด จะมี 2 ตัวนะครับ
แอพลิเคชั่นติดตั่อตัวแรกบน LG Optimus G นั่นจะเน้นไปที่การตัดต่อ หรือว่าสร้างคลิปอย่างเดียว
คือเลือกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวมาเรียงต่อกันได้ สามารถหั่นแยกส่วนได้
สามารถเลือก Transition ได้ เลือกเพลงประกอบได้ เลือกเสียงประกอบพิเศษได้
ฟังดูอาจจะดูด้อยกว่าตัวอื่นที่มีชุด Effect นะครับ แต่ LG เค้าแยกแอพทำเอ็ฟเฟ็คไปไว้อีกตัวนึง
ชุดเอ็ฟเฟ็คที่แถมมาให้จะไม่เหมือนเจ้าอื่นคือ ไม่ได้เน้นกุ๊กกิ๊กน่ารัก หรือเอาไปใช้งานแบบครอบครัว คู่รักอะไร
เพราะชุดเอ็เฟ็คสำเร็จรูปบอกกันตรงๆ เลยว่า น่าเอาไปทำพรีเซเนต์ในบริษัทแบบง่ายๆมากกว่า คือดูเป็นการเป็นงานมาก
ที่เหลือก็เป็นคุณสมบัติปรกติ คือใส่ภาพ ใส่เสียงครับ
ถ้าเราปาดไปใน Widget จะเจอ icon ขนาดยักษ์ 2 ตัวที่เป็น
อันแรกคือ Quick Translator (ทำไม LG ตัวนี้เน้นอะไรที่ดูด่วนๆเยอะนะ)
ในการเปิดใช้งานครั้งแรก แอพลิเคชั่นจะให้เราทำการดาวน์โหลดดิคชันนารี่ก่อน
ฉะนั้น้ถ้าคิดว่าจะเอาไปใช้นอกบ้าน ให้ตั้งเป้าก่อนนะครับว่าจะโหลดภาษาไหน
ก็โหลดไปจากที่บ้านซะ ถ้าบ้นคุณต่อ WiFi
เพราะขนาดดิกชันนารีแต่ละตัวก็ไม่เล็กเท่าไหร่ ในตัวอย่างนี้ผมใช้เป็นอังกฤษ-ไทย
การใช้งานไม่มีอะไรยากครับ คือจะให้เราเลือกเป็นคำ เป็น แถว หรือว่าเป็นวรรค
จากนั้นก็เอากล้องไปส่องที่รูปประโยค จากนั้นคำแปลก็จะปรากฎขึ้นมาทันทีครับ
มาดูที่แอพลิเคชั่นตัวถัดมานั่นคือ “Safe Care”
เราอาจจะเคยเห็นเพื่อนที่ขึน Taxi แล้วต้องคอยส่งข้อความหาคนอื่นหรือพื้นที่บน Social Network
ว่ากำลังขึ้นรถ กท. นี้นะ จากตรงนี้นะกันบ้างใช่มั้ยครับ
นี่ก็แนวคิดแบบเดียวกัน แต่ดูพัฒนาขึ้นมานิดนึง
ในหัวข้อ Emegency Call Forwarding อันนี้ต้องทำการเข้าไปเปิดบริการในตัวแอพก่อนนะครับ
การทำงานของมันคือ ถ้าทำการติดต่อคุณไม่ได้จะทำการส่งต่อไปยังเลขหมายปลายทางที่ตั้งเอาไว้
พร้อมกับส่งพิกัดไปยังเลขหมายปลายทางผ่าน SMS
ในส่วนของ Phone non-usage notice กับ My Location notice นี่ก็คล้ายๆกันคือ
ถ้าไม่มีการใช้โทรศัพท์เกินกี่วันให้ส่งข้อความและพิกัดไปยังเลขหมายที่ตั้งไว้
หรือว่า ถ้ามีหมายเลขที่เราตั้งไว้โทรมา ให้ระบบทำการส่งพิกัดกลับไปในรูปแบบของ SMS
ในเรื่องความบันเทิงด้านเสียงนั้น ในส่วนของวิทยุก็จะเป็น FM ทศนิยม 2 ตำแหน่งตามปรกติทั่วไป
ส่วนเรื่องของระบบเสียงนั้น มีตัวช่วงคือระบบ Dolby Mobile ที่ทำให้เสียงอิ่มเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
แต่แอบขัดใจตรงที่ Music Player มันไม่มี EQ ในตัวนี่สิ
แต่ไม่เป็นไรครับบนแอนดรอยด์เราหา Music Player ตัวอื่นทดแทนกันได้อยู่แล้ว
แต่ที่พิเศษขึ้นมานิดหน่อยคือ ในตัว Music Player นั้น
สามารถส่งข้อมูลไปยังการค้นหาที่ Youtube ได้ รวมถึง SmartShare Guide
ที่ส่งข้อมูลโทรศัพท์ ไปยังโทรทัศน์ผ่าน DLNA ได้
สรุป..ในโฆษณาของ LG Optimus G นั้น ถึงจะปะหัวโครมๆ ของฮาร์ดแวร์ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วนะ
แต่ผมมองในอีกมุม คือมีอีกอย่างที่โฆษณาไม่ได้บอกคือ
LG ตั้งใจมากกับโทรศัพท์รุ่นนี้กับการใส่รายละเอียดยิบย่อยนี่แหล่ะ
LG Optimus G มันเป็นโทรศัพท์ที่ทำมาแบบพอดีคำ
ไม่ใช่โทรศัพท์ที่ทำมาแล้วทุกคนร้องว้าว เฟี้ยวฟ้าว
แต่ใช้คำว่า มันอยู่ในชีวิตใกล้ตัว…อย่างน้อยระดับนึง
เน้นเอาเข้าใจง่ายเข้าว่าในหลายเรื่อง
แต่บางอันก็เข้าใจยากสำหรับคนทั่วไปโดยเฉพาะ “กล้อง”
อีกประเด็นที่คนพูดกันเยอะคือเรื่อง “จอ”
ในความเห็นส่วนตัว ถ้ามองด้วยตาเปล่ากับการใช้งานทั่วไป มันสวยใสสบายตา
อย่างน้อยก็ดูดีกว่า Nexus 4 นิดๆ ในราคาเท่ากัน
แต่ถ้าใจเรามองด้วยสเปค
เฮ้ย..ทำไมจอไม่ Full HD
ผมก็มีคำถามถามกลับข้อนึง คือผมจับมาหมดทัง Full HD และ HD ธรรมดา
ถ้าสายตาคุณไม่สามารถแยกความละเอียดได้แบบจริงจัง การอ่านเสปคในกระดาษก็ไม่มีผลในชีวิตจริงครับ
อีกเรื่องที่ชอบน้อยหน่อยสำหรีบ LG Optimus G สำหรับผม
คงเป็นเรื่องทรงในการดีไซน์ ที่ส่วนตัวคิดว่าการทำมาเป็นเหลี่ยมๆ แท่งๆมันค่อนข้าง Out มาก
ถึงเกล็ดสีใต้ฝาหลังมันจะดูดีจริงๆตอนอยู่ใต้แสงไฟก็เถอะ
จนบางทีแอบคิดอยู่ว่า คือถ้าจับดีไซน์ของ Nexus 4 แล้วไส้ในเป็น G มันจะเยี่ยมมาก
อันนี้มันอยู่ที่จริต และความชอบส่วนตัวของผู้เขียนนะครับ
แต่สีขาวมันสวยจริงนะถ้าเอามาขายในไทยน่าจะเป็นตัวดึงดูดความสนใจได้
ถึง LG Optimus G จะไม่ใช่โทรศัพท์ในกระแสของคนส่วนใหญ่
แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีคุณค่าในการแลด้วยสายตานะ
คือราคาขายตอนนี้ 17,xxx บาท ที่กำเงินสองหมื่นไปจ่ายแล้วเงินหลือกลับมาตั้งหลายพัน ถือว่าคุ้มมากแล้ว
ถ้ามองหาโทรศัพท์ มีคุณค่าในราคาน่าคบ เน้นหยิบมันมาใช้ได้ในทุกวัน สำหรับคนวัยทำงานที่เน้นใช้ไปยาวๆ
LG Optimus G ก็มีดีพอที่จะควรจะหาเวลาไปลองจับดูครับ
ขอบคุณ LG Thailand ที่เอื้อเฟื้อเครื่องในการทดสอบครับ