หลังจากที่เปิดตัวในต่างประเทศมาพักใหญ่
ในที่สุดก็ลัดฟ้ามาถึงเมืองไทยให้สมการรอคอยกันเสียที
สำหรับ LG Optimus G Pro รุ่นเรือธงที่มากับกล้อง 13 ล้าน และจอขนาดใหญ่
LG Optimus G pro โทรศัพท์รุ่นเรือธง ที่ตามหลัง Optimus G แบบทิ้งช่วงห่างมาระยะเวลานึง
ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่หลายอย่างจะถอดแบบกันออกมา
จอแสดงผลของ Optimus G Pro นั้นมากับขนาด 5.5 นิ้ว Full HD IPS 5.5 นิ้ว
แบบเดียวกับที่อยู่ใน Optimus G นี่แหล่ะครับ
โทนของภาพที่ออกมาจะออกแนวสว่าง สด แต่ไม่ถึงกับแสบแยงตา
CPU ที่ใส่มานั้น ก็ตามยุคครับ เป็น Snap Dragon 600 1.7 Quad Core
ส่วนการเชื่อมต่อแบบไร้สายนั้น
จะมีมาให้ทั้ง DLNA , Wifi-Direct ,Bluetooth 4.0 ,NFC
การรองรับ WiFi นั้น จะรองรับมาตรฐานของวันนี้คือ 802.11 a / b / g / n
(จริงๆถ้ารองรับ AC ด้วยจะเยี่ยม)
การเชื่อมต่อของเครื่องที่ด้านล่างเป็นพอร์ท Micro USB
ในส่วนของปุ่ม Home มีลูกเล่นอยู่คือ ไฟกระพริบที่ขอบข้างนี่แหล่ะ
ซึ่งไฟนี้จะสลับสีไปเรื่อยๆ ตอนที่เราปิดหน้าจอ ถ้าเรากลัวว่ามันรจะกินแบตก็เข้าไปปิดในส่วนการตั้งค่าของเครื่องได้นะครับ
ส่วนที่ด้านล่างมีไมโครโฟนตัวที่ 2 ด้วย
กล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และช่องเสียบหูฟัง 3.5
อ่อ..การรองรับ 3G จะเป็น 900/2100 mHz นะครับ
ปุ่มด้านข้าง มีแค่ Power แล้ว Volume Up แลฃะ Down เป็นพลาสติคแนบไปกับลำตัว
การออกแบบด้านหลังหลังของ LP Optimus G Pro
เป็นดีไซน์แบบเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งเป็นแนวกราฟฟิคสีเหลี่ยมดิจิทัล
ซึ่งการออกแบบแบบนี้มันจะดูดีมีราคาเวลาที่ถือใต้แสงไฟครับ
แบตเตอรี่ที่ให้มาเป็นความจุ 3,140 mAh
ส่วนเรื่องของ simcard นั้นเป้น Micro Sim
สามารถใส่หน่วยความจำภายนอกเพิ่มได้
มาดูเรื่องของซอฟท์แวร์กันบ้าง
ถ้าเราปาดลงมาจะเห็นหน้าจอการควบคุมแบบรวมศูนย์ หรือ Quick Setting
คือไม่ต้องเข้าไปค่าอะไรลึกๆมากมาย รวมถึง QSlide App ที่เป็นแอพตัวเล็กยิบย่อยของ LG
ซึ่งก็ติดมากับเครื่องแต่ Optimus G แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ Quick Remote ที่ผนวกอยู่ในตัว
ในหัวข้อของ Quick setting ที่น่าสนใจมี Quick Remote , NFC , Sync, Miracast , Power Saver
ซึ่งถ้าต้องการจัดเรียงลำดับใหม่ ในหัวข้อของ Quick Setting นั้นสามารถจัดสลับได้ครับ
อ่อ…อธิบายถึง Mira Cast หน่อย ใส้ในคือเรื่อง DLA นั่นล่ะครับ
ที่เป็นการส่งต่อภาพไปยังโทรทัศน์ที่รองรับ DLNA หรือว่า Miracast Dongle
อันนี้ก็รอดูอยู่ว่า LG จะเอามาขายรึเปล่า
ด้วยความที่หน้าจอใหญ่ขึ้น การใช้ Q Slide บน Optimus G Pro
ได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า Optimus G มากขึ้นอีกนิดนึง
แต่ก็นั่นล่ะบางทีเรายังต้องออกแรงนิดหน่อยในการจับวางลากเพื่อให้เป็นส่วนนึงของหน้าจอ
เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากหน้าจอขนาดใหญ่ที่ถูกเพิ่มขนาดขึ้นมา
จริงๆเราก็อยากเห็น LG เพิ่มประโยชน์จากความหน้าจอมากกว่านี้อีกนิดนึง
การใช้งานมือเดียวกับเครื่องจอใหญ่มันต้องมีการปรับแต่งอะไรกันบ้าง
อย่างใน LG Optimus G Pro ก็จะมีปุ่ม Shortcut ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ด้านข้าง Quick Memo
ในเมื่อ LP Optimus G Pro เป็นโทรศัพท์โทรศัพท์จอใหญ่ การเลยมาการใส่ลูกเล่นในเรื่องของการมองหน้าจอมาให้ด้วย
อย่าง Smart Screen และ Smart Video โดยทั้งสองหัวข้อคือ โทรศัพ์จะจับจ้องที่สายตาของผู้ใช้ว่ามองหน้าจออยู่หรือไม่
ถ้ามีการละสายตาก็จะทำการปิดอัตโนมัติ (แต่ต้องใช้ LG Player เท่านั้น)
ในส่วนของแป้นพิมพ์ไทยที่ติดมากับ LG ความเห็นส่วนตัว เป็นแป้มพิพม์ที่ใช้ยากอยู่ซักหน่อย
เพราะเป็นแบบสี่แถวแล้วตัวอักษรขี่กัน จริงๆน่าจะปรับเป็นห้าแถวตามขนาดจอที่ใหญ่ขึ้นน่าจะเหมาะสมกว่า
แต่ก็ยังพอมีข้อดีตรงการเขียนด้วยลายมือ ซึ่งจริงๆก็ติดเครื่องมาตั้งแต่ Optimus G แล้วล่ะครับ
มันใช้งานได้ฉลาดทีเดียว อย่างคำว่า “เกรียน “ที่เห็นนีผมใช้การลากด้วยลายมืออย่างเดียว
โทรศัพท์เครื่องใหญ่ มักมีคำถามมากว่าจะใช้มือเดียวถนัดมั้ย
ใน LG Optimus G Pro ก็เลยมีคำสั่ง One-handed operation
การใช้งานมือเดียวกับแป้นพิมพ์เพราะเอาเข้าจริงอาจจะไม่มีผลเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่โทรศัพท์ขนาดตัวเท่านี้เราใช้สองมือพิมพ์
แต่กับการกดปุ่มนี่ได้ใช้กันแน่ๆ สิ่งที่ One-handed operation ทำได้คือการสลับปุ่มโทรออกซ้ายขวาตามความถนัด
รวมถึง Password ตอน Lock Screen อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเงื้อมือกันให้เมื่อย
ถือว่าเป็นความใสใจในเรื่องเล็กน้อยที่สมควรจะบอกต่อ
ในเรื่องของกล้องนั้น ในเรื่องของ Scene Mode ที่ติดมากับ LG Optimus G Pro นั้น
ไม่มีอะไรต่างไปจาก LG Optimus เท่าไหร่
คุณสมบัติที่ควรจะมีกับรุ่นเรือ Face Detection, Image Stabilization, Panorama, HDR , การสั่งถ่ายภาพด้วยเสียง หรือว่า Cheese shutter อันนี้มีครบ
แต่ที่น่าสนใจคือ สองโหมดที่เพิ่มมาคือ Time Catch Shot ซึ่งเป็นการเก็บภาพต่อเนื่องโดยเลือกภาพที่ดีที่สุดให้หนึ่งภาพ
เรื่องของความสามารถในกล้องหน้านั้น เป็นเรื่องที่มีการแข่งขันกันอย่างมาก
ในตัว LG Optimus G Pro นั้นสามารถ ถ่ายพร้อมกันหน้าหลังทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวได้
จะว่าไปอันนี้ก็คือมาตรฐานที่รุ่นเรือธงน่าจะจำเป็นต้องมี
แต่สิ่งที่ผมสนใจจริงๆ คือ LG ให้ความสนใจในการปรับแต่งการใช้กล้องหน้าแบบ Manual ค่อนข้่างเยอะ
อย่างน้อยๆใน Beauty Mode ผู้ใช้ก็สามารถปรับแสงสว่างเองได้ ปรับความเนียนเรียบเองได้
ในเรื่องของภาพถ่ายของ LG Optimus G Pro
สามารถเข้าไปดูได้ที่ Trendy2Mobi Fanpage ซึ่งผมลงไว้ให้ทั้งภาพถ่ายจากกล้องหลังและกล้องหน้า
สรุป..
ถ้าถามว่า LG เครื่อง Optimus G pro ทำได้ดีสมราคา 19,900 บาทมั้ย
คือถ้าคุณไม่ได้คาดหวังความหวือหวา เน้นใช้งานแบบทั่วไป
คือ เปิดเว็บ ถ่ายรูป ฟังเพลง ดูหนัง ฟังเพลง จอใหญ่ ภาพสวย เล่นเกมสบาย
งานประกอบดี LG Optimus G Pro มีให้คุณครบ
อย่างน้อยๆ เท่าที่อยู่ในมือมาสองอาทิตย์ไม่เคยพบว่ามันงอแงอะไรทั้งนั้น
นั่นคือผลของการที่ LG ทำ ROM มาดี
ถ้าเทียบกับ LG Optimus G ที่ออกมาก่อนหน้า
ความรู้สึกในการใช้หลักๆมันไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ เว้นแต่เรื่องจอใหญ่ขึ้นนี่ล่ะ
ส่วนจะเลือกรุ่นไหนนี่แล้วแต่ชอบและถนัดมือครับ
แต่ก็มีการบ้านที่ LG ต้องกลับไปทำในความเห็นของผมนะ
1. สร้างความเชื่อมั่นกับผู้ที่มองหา Android ระดับหัวแถวคือเรื่องความมั่นใจในการอัพเดท
เพราะคนกลุ่มนี้อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้อยู่พอสมควร
2. ทำโทรศัพท์มาหน้าจอใหญ่ขนาดนี้ ลำพัง QSlide อาจจะไม่ใช่สิ่งดึงดูดใจเท่าไหร่
น่าจะยังมีอะไรที่ทำให้เราใช้ประโยชน์ของหน้าจอได้คุ้มกว่านี้อีกเยอะ
3. จากประสบการณ์ตรง LG Optimus G Pro ถ้าคุณเดินตามห้าง
จะรู้สึกว่ามันหาอุปกรณ์เสริมยากชมัด ขนาดผมเดินมาบุญครองนะ
คือเครื่องมันสวยถึงสวยมาก และมีคุณสมบัติเรื่องการใช้เคสแบบมีฝาปิดในเครื่องด้วย
ฉะนั้นต้องมีคนถาหาแน่นอน อยากเห็น LG นำเข้าอุปกรณ์เสริมพวกนี้มาเป็นจุดดึงดูดบ้าง
คือ คนที่อยู่ในวงการรู้ล่ะว่า LG ขายของพวกนี่ในราคาไม่โหดร้าย แต่ก็รู้แค่วงจำกัดอยู่ดี
ซึ่งมันควรจะเป็นหนึ่งในกลุยทธ์ส่งเสริมการขายได้บ้าง
ขอบคุณ : LG ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อเครื่องในการทดสอบครับ