การคาดหวังว่า WWDC น่าจะมี Hardware ใหม่ หรือมีอะไรว้าวนั่นอาจจะไม่ใช่เจตนาของ Apple ในวันนี้
แต่สิ่งที่ Apple มองคือ มาซื้อสินค้าเราให้ครบไลน์เหอะ เพราะทุกอย่างมันเกื้อหนุนกัน
เราจำแทนคุณว่าคุณใช้อะไร แล้วเราก็สนับสนุนมันให้ใช้ด้วยกันได้ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่สนับสนุนความคิดนี้คือ
Senior Vice President ในส่วนงาน Software Engineering อย่าง Craig Federighi
แกพูดไว้น่าคิดครับว่า ” iOS 11 ทำงานได้บน iPhone 5S” และผู้ใช้ iPhone รุ่นที่รองรับครึ่งหนึ่ง
จะสามารถใช้ได้หลังจากมีการประกาศ 7 สัปดาห์ แล้ว 81% ของผู้ใช้ iOS ใช้ iOS11 ขณะที่ผู้ใช้ Android Orero นั้น 8%”
ซึ่งผู้ใช้ iOS เครื่องที่รองเก่าสุดคือ iPhone 5S , iPad mini และ iPod Touch Gen 6
และการตอกกลับไม่ได้หยุดแค่ Android แต่รวมถึง Facebook อย่างเช่น
1. Safari จะปิดกั้นการติดตามจากช่องแสดงความคิดเห็นและปุ่ม “แชร์” หรือ “ชอบ” ของ Facebook
และบริษัทที่ทำแอปใน iOS จะต้องได้รับอนุญาตในการใช้กล้องไมโครโฟนข้อมูลตำแหน่งจดหมายข้อความและอื่นๆ ซึ่งในต่างประเทศนี่คือประเด็นที่ใหญ่มาก
2. ปัญหาการติดโทรศัพท์นี่ไม่เล็ก Apple เลยประกาศว่า iOS12 มีการตั้งเวลาเตือนอย่าเล่นแอปนานหรือ Apps Limit เรื่องนี้ทางฝั่ง Facebook พูดเปรยมาก่อนว่าทำสำหรับ instagram
แต่กับงาน WWDC ทาง Apple ชิงเปิดตัวกับสื่อไปก่อนเป็นที่เรียบร้อยปล่อยให้ Facebook ทำตาปริบๆ
Apple เองก็คงรู้ตัวเองว่าตัวเองก็ช้ากว่าคู่แข่ง ถึงพยายามวิ่งให้ทัน อย่าง
1. ใน #WWDC ด้าน Siri ดูฉลาดขึ้นนิดนึง คือเพิ่ม Short Cut และบันทึกวลีใช้เอง ใครที่เคยใช้คำสั่งงานด้วยเสียงคงเข้าใจ ว่าเราก็อยากให้มันเร็วกว่านี้ และ Siri เริ่มใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าสายสมาร์ทได้มากขึ้น อันนี้บอกว่า Google กับ Amazon แซงไปแล้วหนึ่งช่วงตัวอย่างฝั่งจีนมาให้เพียบ
2. ใน iOS 12 คนที่ใช้ Apple CarPlay น่าจะยินดีขึ้นหน่อยเพราะใช้ Google Maps กับ Waze ได้ แต่บ้านเรา Google Maps คงตอบโจทย์ได้ดีกว่ามาก และร้านเครื่องเสียงรถคงสามารถแนะนำลูกค้าได้เต็มปากมากขึ้น อันนี้จากประสบการณ์จริงที่คุยกับร้านเครื่องเสียงรถ
3. การใช้ระบบในการจัดการรูปนั้น Google Photo ดูจะนำไปก่อนหนึ่งช่วงตัว ใน WWDC ทาง Apple เลยเปิดคุณสมบัติการจัดรูปใส่ folder แบบอัตโนมัติให้เสียที คือนัยนึงคือ Apple ก็เรียนรู้ข้อมูลจากข้อมูลในรูปภาพ และการเก็บพิกัดอยู่แล้ว
ในวันที่โลกไอทีถือหางเรื่อง Reality ทั้ง AR ,VR และ Mr แต่ละค่ายก็ดูมีเหตุผลของตัวเองอยู่
1. การเปิดตัว ARKit2 ของ Apple ใน WWDC นั้น ยังคงเน้นอยู่ว่า Apple เลือกข้างฝั่ง AR อย่างชัดเจนในตอนนี้ เพราะรองรับกับ Eco System ที่ตัวเองมี อย่างเช่น การติดตามใบหน้า ซึ่ง Apple เองก็แฝงมาในรูปของ Emoji รูปแบบใหม่ๆ
2. Apple ในงาน WWDC นั้น Apple แสดงถึงรวมถึงการตรวจจับวัตถุ 3 มิติที่ดีขึ้น การช่วยให้แบ่งปันประสบการณ์กับเพื่อน รวมถึงการซ้อนทับวัตถุดิจิทัลกับโลกจริงบน iPad อย่างพาร์ทเนอร์รายหนึ่งที่ทำงานกันมาด้วยกันอย่างต่อเนื่องก็คือ LEGO รวมไปถึง Measure ที่ใช้ AR ในการวัดวัตถุขนาดเท่าจริง .. จะบอกว่า AR นาทีไม่เกิดก็คงไม่ใช่ แต่อยู่ในระดับของการตั่งไข่ให้เกิดการใช้จริงจากสิ่งที่อยู่ในมือ
3. ถ้า Microsoft ถือหางฝั่ง MR เพราะ windows นั่นมีจุดแข็งที่ใช้กับ PC ฟาก Android ก็คงเป็น นักพัฒนาสาย VR ที่พยายามกันหน้ามาสร้าง Content นั่งอยู่กับที่ ขณะ Apple เองมองต่างไปว่าตอนนี้ อยากให้มีปฎิสัมพันธ์กับโลกจริงแบบ mobility