HUAWEI Band 6 อุปกรณ์ Smart Band รุ่นล่าสุดจาก Huawei ที่มาหน้าจอแสดงผลขนาด 1.47 นิ้ว
เก็บข้อมูลได้ละเอียดไม่แพ้ Smart Watch ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งใช้กันยาวยาวไปได้ถึง 14 วัน ใช้งานได้ทั้ง Android และ iOS ในราคาหนึ่งพันบาทปลายๆ
แกะกล่องลอง
สิ่งที่เราประทับใจอย่างแรกคือ มันปาดหน้าจอง่ายมาก คือจากที่เราเล่น Smart Band มาหลายปี สำหรับในช่วงราคาประมาณนี้ปัญหาหนึ่งที่ผ่านมาคือ ถ้าเน้นขายที่ราคาถูกมากไปหน้าจอมันจะปาดยาก และด้วยความที่มีมีขนาดที่เล็ก แสดงผลอาจจะไม่ได้ละเอียดมากพอ แต่ถ้าจะเอาใหญ่ และลื่นกว่านี้ก็ต้องไปจบที่นาฬิกา สำหรับนี่คือการเอาข้อด่แของทั้งสองอย่างมารวมกันไว้ อาจจะมาช้าหน่อยแต่เอาน่ะ เราเองก็เข้าใจว่า คือหลังจากผ่านการออกผลิตภัณฑ์อย่าง Watch Fit มาก่อนหน้า หัวเว่ยก็รู้แล้วล่ะว่า ควรจะนำมาย่อยให้เล็กลงได้อีกยังไงได้บ้าง อย่างน้อยเราก็รู้สึกได้ล่ะว่าทำมาขายในราคาที่ถูกกว่าแต่ก็ไม่ได้ลดคุณภาพลงไป ซึ่งนั่นคือเรื่องที่เราคิดว่าดี ฉะนั้นการควบคุมจะไม่มีอะไรมาก คือแค่ปาดลาก และกดที่ปุ่มควบคุมด้านข้างเท่านั้นเลยจริงๆ ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 18 กรัม คือจัดว่าเบา
ในเรื่องของสายรัด อันนี้เป็นอีกปัจจัยที่อยากให้ลองพิจารณาก่อนซื้อ ว่าเราใส่แล้วชอบมั้ย เข้ากับข้อมือเรามากน้อยแค่ไหน สายรัดของรุ่นรนี้เป็นซิลิโคนที่เขาเคลมว่าเป็นมิตรต่อทุกสภาพผิว จากที่เราทดลองใส่ก็ไม่พบว่าไม่มีอาการแพ้แต่อย่างใด
คือด้วยรูปแบบของสายคล้ายกับนาฬิกาทั่วไปในขนาดที่เล็กลง และมีตัวล็อคกับข้อมือแบบเดียวกันราฬิกาทั่วไป เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันที่จุดอ่อนคือการล็อค เรารู้สึกได้ว่าบางทีการออกแบบก็ควรกลับมาเรื่องพื้นฐานเถอะ เพราะการเคลื่อนไหวข้อมือแบบต่อเนื่องที่แกว่งแขนไปมา การใช้ตัวล็อคแบบนี้มีความมั่นคงมากสุดแบบหนึ่ง ส่วนตัวสายนี่ไม่สามารถใช้ได้กับรุ่นเดิมนะครับเพราะมันคนละขนาด แต่คุณภาพก็ดีพอๆ กัน และที่เราชอบมากคือสายมันเปลี่ยนถอดได้ง่ายมาก ไม่ต้องแงะต้องง้างอะไรให้ปวดนิ้ว ซึ่งมีให้เลือก 3 สี Graphite Black ,Forest Green และ Sakura Pink
ในเรื่องการชาร์จไฟ หัวต่อก็เหมือนกับ Watch Fit เป๊ะๆ คือเป็นเขี้ยวเล็กๆ สองอันใช้แปะเอาที่ด้านหลัง ซึ่งข้ออีดคือสายมันไม่เกะกะมาก แต่ข้อด้อยมันคือว่ามันก็หลุดง่ายมากเช่นกันถึงจะมีแรงดึงดูดต่อกันก็เถอะ ขณะที่สายชาร์จของบางยี่ห้อจะเป็นตัวล็อคซึ่งหลายคนอาจจะให้น้ำหนักในแง่ที่ว่าชาร์จแล้วมาเต็มแน่ๆ เพราะไม่หลุด แต่จากที่เราทดลองชาร์จไฟดูก็ถือว่าชาร์จไฟเข้าไปในตัวเรือนได้ไวมาก ใช้เวลาชาร์จถ้าต้องการให้เต็ม 100% ใช้เวลาอยู่ที่หนึ่งชั่วโมงนิดๆ ถ้ารีบๆ ก็ชาร์จไฟ 5 นาทีสามารถใช้งานได้นาน 2 วัน ส่วนการเชื่อมต่อเป็น Bluetooth 5.0 แบบ BLE ซึ่งใช้พลังงานน้อยอยู่แล้ว
ในเรื่องของการแจ้งเตือนนั้น ถ้าการแจ้งเตือนพวก Social Media ทั่วไปสามารถทำได้ดีไม่มีปัญหาด้วยพื้นที่การแสดงผลมันอาจจะไมไ่ด้เต็มตามากนัก แต่กว่าก็แสดงในเรื่องของไอคอน และเห็นชื่อพาดหัวได้ว่าใครตอบกลับ หรือว่ามีโพสต์ใหม่อะไรบ้าง ซึ่งการแจ้งเตือนนอกจากอีเมล์แล้ว แอพหลักๆ ที่แจ้งเตือนได้ก็อย่าง facebook ,instagram ,line , messenger ,whatsapp ซึ่งเราสามรถเข้าไปเลือกเปิดปิดได้เองผ่านแอป Huawei Health คิือ การแต้งเตือนนั้นอยากให้ลองพิจารณาดูว่าอะไรบ้างที่สำคัญกับเราจริงๆ
คือตัวแบตเตอรี่ก็มีความจุอยู่ระดับหนึ่ง มีการเคลมว่ามีการจัดการพลังงานที่ดีรองรับกับจำนวนการแจ้งเตือนได้ในระดับหลายร้อยครั้งต่อ 1 cycle ของการชาร์จไฟ แต่ถ้าบางอย่างไม่ได้จำเป็นมาก เราลองปิดบ้างก็ได้ครับ .. แต่การสั่นเพื่อแจ้งเตือนนี่ก็ไม่เบานะพูดเลยออกจะสั่นแรงแบบรู้สึกได้อยู่ คือไม่ได้นิ่มนวลแต่ก็ไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิตถึงกับต้องสะดุ้งในทุกครั้งที่เตือน
ในส่วนของหน้าจอนั้นมากับขนาด 1.47 นิ้ว เป็น AMOLED FullView display ความละเอียด 282 PPI เรื่องของการแสดงผลภาษาไทยนั้นมันควรจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ Smart Band ที่ดีควรจะทำได้ ซึ่งรุ่นนี้ก็รองรับทันทีโดยที่ไม่ต้องไปตั้งค่าใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราบอกอย่างนึงว่าหน้าจอรุ่นนี้อาจจะไม่สู้แดดเท่าไหร่ ถ้าดูกลางแดดจัดอาจจะต้องเอามือป้องนิดหน่อย หรือมีการเพ่งดูข้อความอยู่บ้าง
การเข็นตัวเองให้พยายามออกกำลังกายเป็นเรื่องดี อย่างน้อยในแอปก็มีตัวช่วยที่ช่วยดูเรื่องตารางกิจกรรม ในส่วนของโหมดอออกกำลังในรูปแบบต่างๆ ถ้าเราเข้าเข้าไปที่หัวข้อ Work Out รูปแบบการออกกำลังกาย ที่หลักๆ จะมีคือ Outdoor Run , Indoor Run ,Outdoor Walk , Indoor Walk ,Outdoor Cycle , Indoor Cycle , Pool Swim , Jumping Rope ,Elliptical , Rower และ Other
มีลูกเล่นอันนึงที่ถูกปิดเอาไว้ แต่เราอยากให้คุณลอง คือเข้าไปที่ Setting > Auto Detect workouts คือตัว Smart Band จะตรวจจับการเคลื่อนไหวตั้งแต่คุณเริ่มออกกำลัง และปิดให้อัตโนมัติ
อ่อ..ถ้าจะใส่ลงน้ำล่ะพอไหวมั้ย รุ่นนี้กันน้ำที่ระดับ 5ATM คือใส่ล้างมือได้ ใส่ลุยฝนได้ ว่ายน้ำในสระได้ แต่ไม่เหมาะกับการเอาลงน้ำลึกด้วยประการทั้งปวง
ดูจากชุดการออกกำลังนั้นอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยเจตนาของ Smart Band เหล่านี้ทมักจะทำมาเพื่อกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวในระดับพื้นฐาน หรือว่าใช้งานในฟิตเนส คือถ้าต้องการรายละเอียดหรือคุณสมบัติที่มากกว่านั้น การเขยิบขึ้นไปที่ Smart Watch จะตอบโจทย์การใช้งานที่มากกว่า
ในเรื่องของการวัดผลนั้น ด้วยราคาหนึ่งพันบาทนิดๆ เราได้อะไรบ้าง วัด Hear Rate (อัตราการเต้นของหัวใจ) , Stress (ระดับความเครียด) , Sleep Quality (คุณภาพการนอนหลับ) Step Count (อัตราการก้าวเดิน) แต่ที่เราเราค่อนข้างจะแปลกใจนิดหน่อยที่มีความสามารถในการวัด SpO2 มาให้ด้วย สำหรับ Smart Bandอาจจะไม่ใช่เรื่องปกติเพราะเราจะเห็นสิ่งนี้ใน Smart Watch มากกว่า
SpO2 คืออะไร
อธิบายให้แบบเข้าใจง่ายที่สุด .. ก็ค่ือ
“Spo2 คือ ค่าประมาณของปริมาณออกซิเจนในเลือด เป็นเปอร์เซ็นต์ของเฮโมโกลบินออกซิเจน
หรือ ความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดซึ่งเป็นรอบการหายใจ”
เพราะออกซิเจนในเลือดเป็นสิ่งที่จำเป็นในการจัดหาพลังงานที่กล้ามเนื้อของเราต้องการในช่วงที่มีการทำงานเพิ่มขึ้น เช่น การเล่นกีฬา การออกกำลังกาย นี่คือตัวชี้วัดเพื่่อบอกประสิทธิภาพการทำงานของปอดของเราว่ายังทำงานได้ดีหรือเปล่า
ซึ่งโดยปกติแล้ว SpO2 ในระหว่างวันควรจะอยู่ที่ 95-100% ซึ่งนั่นคือค่าที่จะบอกว่าร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ
คือถ้าค่า SpO2 ของเราสูง อวัยวะต่างๆของร่างกายก็สามารถนำออกซิเจนในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ
แต่ถ้าค่า SpO2 ของเราต่ำ อวัยวะต่างๆ ก็จะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ หรือที่เรียกว่าการขาดออกซิเจน จะมีผลต้องระบบประสาท และสมอง
ถ้าระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ต่ำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ อาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่เกิดจากการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจและโรคปอดบวมได้
ถ้าเราอยากเห็นรายละเอียดมากกว่าหน้าจอ ถ้าอยากตั้งค่าถนัดๆ มากกว่านั้น สามารถทำได้มั้ย ?
แนะนำให้ใช้แอปอย่าง Huawei Health คือเขาก็ทำมาหลายเวอร์ชั่นแล้วล่ะ ยิ่งเวอร์ชั่นหลังๆ ผมว่าเขาทำหน้าจอแสดงผลให้รายละเอียดเยอะขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงช่วยในเรื่องของการตั้งค่าง่ายขึ้นมากๆ และที่ดีคือมีการวิเคราะห์เบื้องต้นให้กับเราด้วย
ในส่วนของ Watch Face อันนี้มี Trick ในการใช้งานนิดนึง พื้นที่การแสดงผลอาจจะมีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดนั่นก็จริง แต่เราทำให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าได้ ในตัวอย่างนี้เราจะเห็นวงกลมด้านหลัง ซึ่งแสดงค่า Heart Rate และ Steps ตรงนั้นเรียกว่า Widgets และเราสามารถเปลี่ยน Widgets เองได้โดยการกด Setting ที่เป็นรูปเฟืองครับ โดยสามารถเปลี่ยนเป็น Calaroies , Weather ,VO2max , Stress ครับ
ซื้อดีมั้ย Huawei Band 6
ถ้าบอกว่าการดูแลรักษาสุขภาพมันคือเทรนด์มันก็ใช่ เราก็คิดว่าสินค้าตัวนี้คือทำมาเพื่อตอบสนองคนกลุ่มที่กำลัง “เริ่มต้น” นั่นล่ะ
คือสิ่งนี้ก็เพียงสำหรับนักวิ่งในหมู่บ้าน คนที่ออกกำลังกายแบบ Cardio คนเริ่มต้นเล่นฟิตเนส ที่ยังไม่ได้อยากลงกับอุปกรณ์แพงๆ ไม่จำเป็นต้องการรองเท้าที่ใส่แล้ววิ่งพุ่งไปข้างหน้า ไม่ได้อยากหาชุดวิ่งสวยๆ ขอแค่มีตัวช่วยในการวัดผลที่ดูคุ้มค่าสมราคาหน่อย คือมันก็ดีพอสำหรับใช้งานทุกวันนั่นล่ะ เพราะอาจจะไม่ใช้ทุกครั้งที่เราอยากจะใส่อะไรใหญ่ๆ หนักๆ ที่ข้อมือ แต่ก็ไม่ได้ทำมาเพื่อจะเอาไปใส่วิ่งเพื่อดู GPS Tracking หรือวิ่งทำเวลาเป็นชั่วโมงๆ
ถ้าถามว่าแบตเตอรี่อึดมั้ย ภายในมีแบตเตอรี่บรรจุมา 180 mAh ถ้าใช้แบบคนปกติทั่วไป 2 สัปดาห์นำไปชาร์จ 1 ครั้งนี่ยังได้ คือความอึดของแบตเตอรี่นี่ทำมาได้ดีตั้งแต่รุ่นพี่ และรุ่นนี้ก็ไม่ค่อยทิ้งกัน ถ้าไม่ได้มีการแจ้งเตือนแบบกระหน่ำ แต่ถ้าเอาไปออกกำลังกายก็จะมีการใช้พลังงานที่มากกว่านั้นจากที่เราทดสอบด้วยการปั่น Indoor Cycle หรือจักรยานในร่มในระยะเวลา 1 ชั่วโมงแบตเตอรี่ลดไป 10% ครับ
ส่วนลูกเล่นอื่นๆ เช่น ใส่เพลงได้ ควบคุมคุมเพลงผ่าน Smart Phone ขณะออกกำลัง อันนี้ไม่ได้มีมาให้สำหรับผู้ใช้ iOS ต้องใช้กับโทรศัพท์ของ Huawei เท่านั้นซึ่งเอาจริงเราก็เสียดายนิดหน่อย แต่ถ้าหักลบกับมาตรวัดต่างๆ ที่มีมาให้ จอที่ควบคุมได้ง่ายๆ ก็พอจะหักลบกลบสิ่งที่มันขาดไปได้อยู่บ้าง บางทีเราต้องการแค่ผู้ช่วยที่แค่แจ้งเตือน ในเวลาที่เราอาจจะมีนาฬิกาเรืนอหลักอยู่แล้ว และหาซื้อได้ในราคาที่เป็นมิตรมากพอ
HUAWEI Band 6 วางจำหน่ายในราคา 1,899 บาท ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ HUAWEI Store, JD Central, Lazada และ Shopee
ส่วนร้านค้าปกติ จะมีเฉพาะ Huawei High-End Store สาขาสยามพารากอน
[button color=”primary” size=”medium” link=”[button color=”primary” size=”medium” link=”https://u.jd.co.th/tDtI7XS” icon=”” target=”true” nofollow=”false”]กดที่นี่เพื่อสั่งซื้อ[/button]
ขอบคุณ : Huawei Thailand ที่เอื้อเฟื้อสินค้าในการทดสอบครับ