จากสัญญาณ EEG สู่ภาพในฝัน! เบื้องหลังงานวิจัย Dream2Image สำหรับการถอดรหัสความฝันจากสัญญาณคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) และสร้างเป็นภาพขึ้นมาโดยใช้ AI ผลงานจากนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก
ชุดข้อมูล “Dream2Image” นี้สร้างขึ้นจากการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ระหว่างการฝันของผู้เข้าร่วม 38 คน รวมเป็นเวลากว่า 31 ชั่วโมง ประกอบด้วยตัวอย่างความฝันทั้งหมด 129 ตัวอย่าง ในแต่ละตัวอย่างจะประกอบด้วยข้อมูลต่อไปนี้:
- บันทึกการทำงานของสมองในช่วง 15, 30, 60 และสูงสุด 120 วินาทีสุดท้ายก่อนตื่น
- รายงานเกี่ยวกับประสบการณ์ในความฝัน (Dream Report)
- ภาพที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อจำลองภาพในฝันโดยประมาณ (AI-generated Image)
ผู้เข้าร่วมการทดลองมีอายุระหว่าง 18 ถึง 35 ปี (อายุเฉลี่ย 20.7 ปี) แบ่งเป็นเพศชาย 56% และเพศหญิง 44% โดยทั้งหมดต้องผ่านเกณฑ์คัดเลือก เช่น ไม่มีประวัติความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับหรือโรคทางจิตเวช และไม่ได้ใช้ยาที่มีผลต่อการนอน
สัญญาณ EEG ถูกรวบรวมโดยใช้ระบบ 2 แบบ คือ “Neuroscan SynAmps” และ “BrainProducts HD-EEG” เพื่อให้ข้อมูลมีความสอดคล้องกัน (Data Harmonization) จึงได้มีการคงอิเล็กโทรดร่วมกันไว้ 17 จุด
กระบวนการสร้างภาพ (Image Generation Process) นั้นประกอบด้วยหลายขั้นตอนที่ซับซ้อน:
1. การสกัดความหมาย (Semantic Extraction): ขั้นแรกคือการระบุองค์ประกอบสำคัญของความฝัน เช่น อารมณ์ความรู้สึก, บริบท, สีสัน และบุคคล
2. การสร้าง Prompt: จากนั้นจะนำข้อมูลที่สกัดได้มาสร้างเป็น Prompt สำหรับโมเดลสร้างภาพ โดยมี AI Agent ทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับแก้ตามหลักประสาทจิตวิทยา (Neuropsychological Validation)
3. การสร้างภาพด้วย DALL-E 3: โมเดล DALL-E 3 จะถูกใช้เพื่อสร้างภาพขึ้นมา
4. การประเมินความแม่นยำ (Fidelity Assessment): ภาพที่สร้างขึ้นจะถูกนำมาประเมินความสอดคล้องกับคำอธิบายความฝันดั้งเดิม กระบวนการนี้จะทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าคะแนนความสอดคล้อง (Fidelity Score) จะผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปดูชุดข้อมูลนี้ได้บน Hugging Face ครับ
งานวิจัยนี้มีประโยชน์อย่างไร : สามารถต่อยอด สร้างอุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้ป่วยอัมพาต (BCI for Communication): สำหรับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) หรือผู้ป่วยที่มีภาวะ “Locked-in Syndrome” ที่สมองยังทำงานเป็นปกติ แต่ไม่สามารถขยับร่างกายหรือพูดได้เลย งานวิจัยเหล่านี้คือความหวังที่จะสร้าง Brain-Computer Interface (BCI) ที่ให้พวกเขาสามารถ “คิด” เป็นข้อความหรือ “จินตนาการ” เป็นภาพเพื่อสื่อสารกับคนรอบข้างได้ หรือนำไปใช้เรื่อง การวินิจฉัยและบำบัดทางจิตเวช: ในอนาคต เราอาจวินิจฉัยโรคซึมเศร้า, PTSD, หรือโรคจิตเภทได้จากรูปแบบของคลื่นสมองที่ผิดปกติ และการถอดรหัสความฝันอาจช่วยให้นักบำบัดเข้าใจสภาวะจิตใต้สำนึกหรือภาพหลอนของผู้ป่วยได้ดีขึ้น เพื่อวางแผนการรักษาที่ตรงจุดยิ่งขึ้น