ชื่อของ Motorhead นั้นโลดแล่นมาบนเส้นทางสายดนตรี Metal อย่างยาวนานกว่า 30 ปี
และตอนนี้ Motorhead ก็เป็นมากกว่าวง Metal เพราะเหล่าน้าๆกำลังมีหูฟังภายใต้แบรนด์ของชื่อวง
ด้วยแนวคิด “By Rocker For Rocker”
งานเปิดตัว Motorheadphones ครั้งนี้จัดที่โรงแรม Aloft ซอย สุขุมวิท 11 ครับ
เดินเข้ามาถึงหน้าบันไดก็เจอป้ายชาวคณะ Motorhead มายืนรอรับเลยีเดียว
ที่ป้ายมีประโยคนึงที่ผมชอบมาก เขาเขียนไว้แบบนี้ครับว่า
If ot’s to loud , You’re to old. เจ็บมั้ยล่ะ
การมาเปิดตัวครั้งนี้ที่กรุงเทพฯ ถือเป็นที่แรกในแถบเอเชียครับ
ฉะนั้นครึ่งนึงของในงาน แน่นอนครับ..ต่างชาติทั้งนั้น
เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการเปิดตัวตามเมองใหญ่ๆ อาทิ
paris ,berlin ,hanover ,munic ,las vegas
หลายคนอาจจะเคยได้ยินแบบแว้บๆเกี่ยวกับวง Motorhead
คงจะต้องเล่เท้าวความคร่าวๆเกี่ยวกับน้าๆ
วง MotorHead นั้น ถือเป้นว่าเป็นวงขั้นตำนานของ Rock / Metal จากลอนดอนประเทศอังกฤษ
โดยแกนนำนำของวงคือ น้า Lemmy หรือชื่อเต็มๆของแกคือ Ian Fraser Kilmister
ซึ่งเล่นตำแหน่ง Bass ร้องนำ และแต่งเพลง
โดยเริ่มก่อนตั้งวงตั้งแต่ปี 1975 และในปี 1977 โดยมีอัลบั้มแรกเป็นชื่อเดียวกับวงคือ MotorHead
และทางวงก็มีผลงานออกมาต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงอัลบั้มล่าสุด Motörizer
จนถึงบัดนี้ก็ร่วม 20 อัลบั้ม ความยิ่งใหญ่ของวงคงไม่ต้องพูดอะไรมาก
เพราะผลงานของทางวงล้วนแต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับวงแนว Speed Metal และ Thrash Metel
และแน่นอนว่า พอมาออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นหูฟังของวง
มันก็ต้องพิเศษนิดนึง อย่างน้อยทางวงก็การันตีแล้วล่ะว่ามันต้องได้มาตรฐานแบบของน้าๆแก
ว่ากันตั้งแต่เรื่องของบรรจุภัณฑ์ก่อน
เมื่ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หูฟังของวงนี้ คงต้อง Rock กันตั้งแต่หีบห่อ
โดยการออกแบบตั้งแต่แพคเกจนั้น เป็นกล่องเหล็กแบบที่เค้าใช้ขนเครื่องดนตรีกันน่ะครับ
ยัง..แต่นั่นยังไม่พอ ถ้าคุณเป็นแฟนเพลงของ Motorhead
อาจจะต้องร้อง “เฮ้ย” ออกมาดังๆตอนที่คุณรู้ชื่อรุ่นของหูฟัง
เพราะชื่อรุ่นก็มาจากเพลง จากชื่ออัลบั้มที่ผ่านมานี่แหล่ะ
– Trigger จากอัลบั้ม Kiss Of Death ปี ค.ศ. 2006
– Overkill จากอัลบั้มในปี ค.ศ. 1979
– Bomber จากอัลบั้มในปี ค.ศ. 1979
– Iron Fist จากอัลบั้มในปี ค.ศ. 1982
– Motorizer จากอัลบั้มในปี ค.ศ. 2008
อันนี้ต้องของชมการจัดงานเลย คือมีหูฟังทุกรุ่นให้ลองกันแบบสะใจมาก
ไม่มีใครมากั๊ก ไม่ต้องมีใครมายืนบรรยายสรรพคุณ มีแต่ Pretty มายืนยิ้มหวาน
แล้วเพลงในงานก็เอื้อต่อการทดสอบดีจริงๆ เพราะนอกจากจะเปิดเพลงของ Motorhead เองแล้ว
ก็ประเคนเพลงที่ของวงเราคุ้นๆกัน มาให้ทดลองฟัง ทั้ง Nirvana , Red Hot Chilli Peppers ,Blur และอื่นๆ เรียกว่าสาดกันยับ
แรกสัมผัสหูฟังของ Motorheadphones นี่แว้บขึ้นมาเลย
คือดีไซน์ออกแนว Old School Metal นิดนึง
ตัวบอดี้เป็นพลาสติคที่ทำให้ดูเหมือนผืนหลังอารมณ์สิงห์มอเตอร์ไซค์
ปล่อยชีวิตไหลไปตามวิถีของมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์
เหตุผลที่ผมดิ่งไปลองที่หูฟังแบบครอบก่อนเลยคือ สำหรับคนที่ขมับกว้างแบบผม
มักจะหาหูฟังแบบนี้ในแล้วรู้สึกสบายค่อนข้างลำบากอยู่
แต่ของ Motorheadphones ด้วยความกว้างของมัน
ทำให้คนขมับใหญ้่แบบผมฟังสบายอยู่ ไม่มีอาการบีบศีรษะแต่อย่างใด
แถมกันเสียงจากภายนอกค่อนข้างจะมิดดีทีเดียว
หูฟัง Motorheads ในรุ่นที่เป็นหูฟังแบบ In Ears นั้น จะแบงเป็น 2 รุ่นย่อยคือ Over Kill และ Trigger
ดีไซน์จะเป็นทรงกระสุนปืนครับ
นอกจากชื่อรุ่นที่จะใช้ชื่อตามชื่ออัลบั้มแล้ว
ความใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยของการออกแบบยังมีให้เห็นอีก
นอกจากการที่มีสัญลักษณ์ War-Pigs ถ้าในรุ่นที่เป็น In Ears ก็จะเป็นสัญลักษณ์ Ace โพธ์ดำ
สิ่งที่แตกต่างกันคือ Trigger จะไม่มีไมโครโฟน ขณะที่ Overkill จะมีไมโครโฟน
Eartips มี 3 ขนาด คือเล็กกลางใหญ่ เหมือนกันทั้งคู่ครับ
โดยที่รายละเอียดเกี่ยวกับตัวหูทั้ง 2 รุ่นจะมีเหมือนกันคือ
Driver ขนาก 9 mm
Frequency Response 20 – 20,000 Hz
Max. Input Power 50 mW
Rated Impedance 16 Ω 1KHz
ส่วนเรื่องของสี ก็จะมีสี ทอง สีเงิน และสีดำครับ
มาดูตัวถัดมา..อันนี้ส่วนตัวแล้ว ผมชอบแบบออกหน้าออกตามาก
คือไม่สามารถหยุดฟังได้จริงๆ คือหูฟัง Motorheadphones รุ่น Bomber
คือ Bomber อาจจะไม่ใช่หูฟังเสียงเลิศเลอมาก
สุ้มเสียงของ Bomber นั้น ถูกออกแบบมาตามชื่อมันนั่นแหล่ะ
เบสเป็นเบส กลองเป็นกลอง เสียง Distrotion นี่มาเต็มๆ
คือฟังเอามัน เอาสนุกมันใช่เลย
และคุณสมบัติที่ติดมาตามยุคสมัยที่ต้องมีมา
ก็จะเป็นการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนคือ
มีไมโครโฟน ควบกุมการเล่น หยุด เดินหน้า ถอยหลัง
สั่งงานถ่ายรูป ถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ จากรีโมทที่ติดอยู่ตรงสายหูฟัง
Driver : 30mm, neodymium
Sensitivity : 99 dB SPL (1mW) at 1KHz
Frequency Response : 20 – 20,000 Hz
Max. Input Power :200 mW
Rated Impedance : 24 Ω 1KHz
มาดูหูฟังตัวรองท๊อปกันก่อนกับรุ่น Iron Fist
รุ่นนี้จะเขยิบเข้ามาในความเป็นหูฟังระดับที่ใช้สตูดิโอขึ้นมาอีกนิดนึง
เพราะเสียงจะออกกลาง โปร่ง แหลมชัด เน้นฟังแบบแยกรายละเอียดมากขึ้นกว่า Bomber
อ่อ…สาย Jack จากตัวสาย และตัวขั้วหูฟังนี่สามารถถอดแยกออกจากกันได้ด้วยนะครับ
แต่รุ่นนี้จะไม่มีไมโครโฟน ไม่มีรีโมท
มาดูสเปคของ Iron Fist กันคร่าวๆครับ
Acoustic Design : Dynamic, closed-back
Driver : 40 mm, neodymium
Sensitivity : 102 dB SPL (1mW) at 1KHz
Frequency Response : 10 – 20,000 Hz
Max. Input Power :200 mW
Rated Impedance : 68 Ω 1KHz
มาถึงตัวสุดท้าย…อันนี้เป็นตัวสุดรักของผมในงานอีกตัวเลยคือรุ่น Motorizer
ด้วยเหราะเหตุผลที่ว่า มันสามารถพับหูลงมาได้สำหรับการฟังข้างเดียวสำหรับงานแบบ DJ
คุณภาพเสียงเหมาะกับคนที่ต้องการคุณภาพแบบงานสตูดิโอ
เสียงกลาง เบส เสียงแหลมให้มาครบแบบกระจ่างๆ
รุ่น Motorizer ต่างจาก Iron Fist ตรงที่ว่า เรื่องการมีรีโมทควบคุม
เดินหน้า ถอยหลัง วางสาย ถ่ายภาพผ่านรีโมทบนสายหูฟัง
Acoustic Design : Dynamic, closed-back
Driver : 40 mm, neodymium
Sensitivity :102 dB SPL (1mW) at 1KHz
Frequency Response : 10 – 20,000 Hz
Max. Input Power : 200 mW
Rated Impedance : 68 Ω 1KHz
สนนราคาค่าตัวหูฟังของ Motorheadphones อยู่ระดับกลางๆ ไม่จัดว่าแพงนัก
– Trigger 1,650 บาท
– Overkill 1,980 บาท
– Bomber 3,300 บาท
– Iron Fist 3,930 บาท
– Motorizer 4,260 บาท
หลังจากลองฟังดูแล้ว…ตัวที่ผมแนะนำให้ไปลอง เพราะคุ้มราคาค่าตัวจริงๆ
คงจะเป็นรุ่น Bomber และ Motorizer
อย่างที่ผมบอกไปตอนแรกนั่น Bomber เป็นหูฟังที่เน้นฟังเอาสนุกครับ
เน้นตึ้บ เน้นเบสเดินมาเป็นลูก เสียงจะเป็นมวลกลมๆหน่อยๆ
ขณะที่ใครอยากได้เสียงกลาง โปร่งๆ เน้นฟังรายละเอียด ฟังได้กว้างๆ ไม่จำเป็นต้อง Rock อย่างเดียว
รุ่น Motorizer จะตอบโจทย์ดีกว่า
พูดถึงดนตรีร็อค แล้วจะไม่พูดถึงสาวๆได้ยังไง
แขกรับเชิญที่น่าปลาบปลื้มที่สุดปรากฎตัวท้ายงานคือ 3 สามววง The Poison
ศิลปินใหม่ของค่าย Iconic Record ครับ พวกเธอเพิ่งมีซิงเกิ้ลแรกคือ เพลง Girs Friend
จริงๆบนเวทีก่อนหน้านี้ ก็มีสัมภาษณ์ Producer ฝรั่งหัวใจไทย อย่าง Peter Henderson
ที่ตอนนี้ปักหลักอยู่ที่ Iconic Recoard กับ โดม – ปกรณ์ ลัมภ์ด้วย
สำหรับใครที่ต้องการติดตามข่าวสารของ Motorheadphones ติดตามกันได้ที่นี่ครับ
https://www.facebook.com/motorheadphonesthailand หรือ http://www.motorheadphones.asia ซึ่งสามารถสั่งซื้อแบบออนไลน์ได้
ส่วนกำหนดการวางขายในประเทศไทย ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้เดินเข้าไปลองกันได้ที่ร้านของเฮียมั่นคง และ Pro Plugin ครับ