“เสียงโคตร Flat เลย” ผมได้ยินมนุษย์ดนตรีอุทานใกล้เคียงประมาณนี้หลังจากลองยื่น Motorizer ให้ฟัง
และไม่มีใครทายราคาของมันได้ใกล้เคียงเลย
ภายหน้าตาที่ดุดันนั้นมันมีสิ่งที่รอการพิสูจน์ตัวเองบางอย่างอยู่
หูฟัง Motorheads รุ่น Motorizer มันมีจุดยืนที่ดูแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านสักหน่อย
เพราะภายใต้ Brand แบบ Consumer กลับเป็นหูฟังระดับ Monitor เสียนี่
ด้วยความที่ภาพของสินค้าเป็น Oldschool Metal
การแบบในเรื่องปลีกย่อยก็จะไปในทิศทางเดียวกัน
คือโทนสีหลักเป็นสีดำทอง และที่ขาของหูฟังจะเป็นลายคล้ายหนัง
แต่จริงๆวัสดุเป็นพลาสติคนะครับ ส่วนที่บุมาด้านข้างจะเป็นกำมะหยี่
สิ่ง Motorizer แตกต่างจากเพื่อนร่วมอุมการณ์ในทุกรุ่นของ ของ Motorheadphone
คือรุ่นนี้สามารถพับหูได้สำหรับมอร์นิเตอร์ข้างเดียวเพื่องาน DJ ครับ
ด้วยความที่สายของหูฟังมันค่อนข้างยาวเลยล่ะ ฉะนั้นเค้าเลยทำให้มันถอดได้ครับ
ถอดออกมาก็เป็นหัว 3.5 ปรกติครับ ฉะนั้นตัดปัญหาไปได้เลย
ประเภทสายขาดสายพังแล้วเหลือแต่หูเปล่าๆทำอะไรไม่ได้ ต้องซ่อมอย่างเดียว
สำหรับ Motorizer ถ้าอยากเปลี่ยนสายก็ไปหาสายมาใหม่แทนได้ไม่ยาก
ด้านบนของหูฟัง Motorizer เป็นพลาสติคแบบยืดหยุ่นได้ ง้างได้ประมาณนึงนะครับ
เอาไว้ใช้งานแบบสมบุกสมบันนิดนึง แต่จะไม่สามารถเลื่อนขึ้นเลื่อนลงได้เพราะมันตายตัว
ส่วนที่ที่อยู่ตรงกลางจะเป็นก้อนยาง ถ้าเคาะจากด้านบนจะพบว่ามันแข็งใช้ได้เลย
ลองมาดูด้านใต้ มันก็ยืดหยุ่นพร้อมรับกับการโครงของศรีษะ
แล้วก็นิ่มกว่าที่สายตาเรามองแล้วคิดไปเองมาก
สัญลักษณ์โพธิ์ดำที่คุ้นเคยไม่ได้หายไปไหนครับ มาอยู่ตรงขั้วแจ๊ค
สายยาว 2.5 เมตรนี่ จริงๆเหมาะกับงานสตูดิโอ หรืองาน Live Sound นะครับ
คือคุณจะสามารถมีระยะในการทำงานเยอะเลยล่ะ
ส่วนถ้าใครนึกไม่ออกว่าสายยาว 2 เมตรมันขนาดไหนลองดูภาพครับ
ตกลงสายมันยาว หรือว่าผมเตี้ย…โปรดพิจารณากันเอาตามสายตานะครับ
พูดถึงเสปค ดูจากตารางนี้กันก่อนนะครับ
Driver | ø40 mm, neodymium |
Sensitivity | 102 dB SPL (1mW) at 1KHz |
Frequency Response | 10 – 20,000 Hz |
Max. Input Power | 200 mW |
Rated Impedance | 68 Ω 1KHz |
Cable | 1 m (3.3 ft.) & 2.5 m (8.2 ft.) |
Net Weight | 238 g (8.4 oz) |
เอาล่ะก่อนมาทดลองฟังกัน..ควรจะเข้าใจแนวคิดของหูฟังตัวนี้สักนิด
คือด้วยความที่เป็นแบรนด์สินค้าของนักดนตรี ฉะนั้นแนวคิดในการออกแบบเรื่องเสียง
เค้าจะมีความเฉพาะตัวกันไปในแต่ละรุ่น อย่าง Motorizer นั้น
จะเน้น Falt เน้นความกระจ่าง คือพยายามทำให้ได้ในมาตรฐาน
ของหูฟังมอร์นเตอร์ในสตูดิโอสำหรับงานมิกซ์เสียง
แต่แน่นอนล่ะทุกอย่างมันต้องแลกมาเหมือนกัน
คือหูฟังรุ่นนี้ค่อนข้างหนักอยู่
คือถ้าใส่แล้วมีใครมาตบหน้า คงไม่มีอาการหันซ้าย หันขวาแน่ๆ
ผมเลือกทดสอบ Motorizer กับเพลงของเทพนิ้วลมกรดสาย Neo Classic อย่าง Yngwie Malmsteen ก่อน
แทนที่จะเลือกเพลงของวงเจ้าของแบรนด์ เพราะฟังจนช้ำแล้ว .. ฮ่า
คือเพลง Far Beyond The Sun นั้น มือกีตาร์โดยทั่วไปต่างรู้ว่า
เป็นบรรเพลงที่มีช่วงกีตาร์ที่ละเอียด เร็วจัด เรียงตัวเป็นเม็ด กลาง แหลม ชัด
ซึ่งหูฟัง Motorizer ก็ทำได้ดี คือเก็บรายละเอียดความเป็นเม็ดได้ค่อนข้างครบเลย เอาไปแกะเพลงได้สบาย
แต่จะเล่นได้เทียบเคียวงฉบับมั้ยนั่นแล้วแต่ฝีมือ
คือเพลงนี้ด้วยความที่บันทึกไว้ค่อนข้างนาน อาจจะฟังไม่กระจ่างเปรี๊ยะมากเท่าไหร่นัก
แต่ Mororizer การถ่ายทอดช่วงที่เป็นการดวลกัน ระหว่าง Fender Stratocaster กับ Organ
หูฟังถ่ายทอดอารมณ์ได้ได้สนุกมาก เพราะต้นฉบับมีการมิกซ์แบบแพนลากหางเสียงข้าม Channel กันสุดๆ
มาดูกันที่เพลงต่อไป..ยังคง Rock กันต่อครับ แต่เป็น J-Rock
ผมเลือกเพลงที่เป็นงานเดี่ยวของ Hyde นักร้องนำของวง L’arc en ciel
คราวนี้ล่ะครับถึงได้ยินความสาดเสียงกีตาiNแบบ Distrotion ชัดๆ คมๆ และน้ำเสียงที่พุ่งออกมาเต็มๆเสียที
ก็เนื่องจากขนาดของ Driver ที่มากับหูฟังนี่แหล่ะ
ลองมาทดสอบกับเพลงเต้นรำดูบ้าง อย่างเพลง Candy Candy
คือถ้าเรามองด้วยขนาดตัวของหู คงต้องคิดว่ามันเบสโบ้มๆแน่
คงต้องบอกว่า กลับไปอ่านที่วรรคบนๆครับ คือมันเน้นกลาง
เบสมันจึงไม่ได้ออกมาโบ้มๆอย่างที่หลายคนคาดหวัง
แต่รายละเอียดจุ๊กจิ๊กที่ไม่ค่อยได้ฟังอย่าง Keyboard ค่อยโผล่มาให้ได้เห็นกันบ้าง
และเสียงกรุ๊งกริ๊งนี่เก็บมาได้เยอะทีเดียว
หลังจากทดลองฟังเพลงในหลายแบบ
ในที่สุดผมก็เลือกเพลง Endless Story ของ Yuna Ito เพลงประกอบภาพยนต์ NaNa
เพราะอยากฟังซาวด์เสตจแบบกว้างๆ ฟังเสียงร้องแบบชัดๆ
คือถ้าคุณไม่ไปยึดติดนักว่าหู Motoheadphones มันต้องร็อคอย่างเดียว
มันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แหล่ะ ความกว้าง ความกระจ่างเส่ยงกระจ่างที่โอบล้อมตอนฟังถือว่าทำได้ดี
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ผมพยายามจะสื่อว่าอะไร
หูฟัง หรือลำโพงปรกติ มันจะมีความ Color หรือการปรุงแต่ง ทำให้ฟังสนุก ฟังเอามัน
แต่หูมอนิเตอร์ที่เสียง Flat มันจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
บันทึกมาแบบไหน เล่นมาแบบไหน ก็แสดงออกไปแบบนั้น
มันด้านตรงกันข้าม คือ ไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น
ในมุมของคนฟัง และเล่นดนตรีบ้าง
หูฟัง Motorheadphones Motorizer ตัวนี้มันไม่ใช่สินค้า Consumer ซักเท่าไหร่
ถึงผู้ผลิตจะพยายามบอกเราแบบนั้นก็เถอะ
เพราะวันที่ผมไปยืนดูที่ร้านของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ดนตรี
หูตัวนี้ก็อยู่บนหิ้งๆสูงๆร่วมกับหูฟังระดับมอร์นิเตอร์รุ่นกลางไปจนถึงดีในราคาที่ถูกว่าชาวบ้าน
คือ Motorheadphones Motorize ราคาขายอยู่สี่พันกว่าบาท
หูฟังมอร์นิเตอร์ตอนนี้ราคาถูกลงเยอะครับ ก็มีเจ้าอื่นที่ถูกว่านี้
แต่ก็อย่าลืมเรื่องราคาต้นทุนของฮาร์ดแวร์ที่ติดมาและดีไซน์ของ Motorheadphones Motorizer ด้วยนะ
ถ้ามองมุมการตลาด
การนำเสนอภาพ Motorheadphones คงชี้ชัดไปที่กลุ่มประชาชนชาว Rock
ก็เหมือนกับที่แบรนด์ในตลาด มีภาพลักษณ์ของศิลปินแนว HipHop หรือว่า Dance
แต่ผมก็อยากยืนยันจะบอกว่า สิ่งที่หูฟัง Motorheadphones Motorizer ตัวนี้มันทำได้
คุณไม่จำเป็นต้องไปตีกรอบคุณค่าด้วยคำว่า Rock หรือ Metal
มันสามารถอยู่ในตลาดของกึ่งมืออาชีพ หรือมืออาชีพที่สถิตย์อยู่ใน Studio ก็ได้
และมันสามารถไปอยู่ในมือของนักฟังที่จริงจังกับดนตรีได้ในเวลาเดียวกัน
จนบางทีผมก็แอบตั้งคำถามในใจ..
หูฟังแบบ FullSize สวยๆบางแบรนด์ที่ขายแพงหลักหมื่น แต่ให้เสียงแบบเดียวกันเจ้านี่
มันเป็นเรื่องค่าการตลาดที่เกินเหตุหรือเปล่า
จะว่าไปผมอยากเห็นหูฟัง Motorheadphones Motorizer ฟังตัวนี้ไปอยู่ในมือของ Guitar Hero ในไทยนะ
อาทิ ป๊อป วรวิทย์, แจ็ค ธรรมรัตน์ , ป๊อป หินเหล็กไฟ ,ต้น ซิลลี่ฟูลส์ ,ต้น Dezember
หรือมีโฆษณาใน The Guitar Mag หรือว่า OverDrive Magazineประมาณนั้น
ไม่มีใครรีดความสามารถของมันออกมาได้เท่าคนพวกนี้หรอก..จริงๆนะ
ข้อด้อยที่พอจะนึกออกคือ มันเลื่อนขึ้นลงไม่ได้นะครับ มันก็เป็นทั้งจุดดีและด้อยในเวลาเดียวกัน
ถ้าใครชอบเบสโบ้มๆบู้มๆหน่อยคงไม่สาแก่ใจนัก น้ำหนักที่ค่อนข้างเยอะ
และกำมะหยี่นี่้องรักษาความสะอาดให้มันหน่อย
ถามใจตัวเองครับ…ว่าคุณซื่อสัตย์กับการเสพดนตรีแบบจริงจังแค่ไหน
ถามใจตัวเองครับ…ว่าคุณซื่อสัตย์กับการฟังของคุณแบบไม่แคร์ภาพลักษณ์ที่คนมองแค่ไหน
ถามใจตัวเองครับ…ว่าคุณซื่อสัตย์กับตัวเองว่าเสียงต้องมาก่อนคุณค่าทางการตลาด
ถ้าคำตอบคือ “ใช่” .. ผมอยากให้คุณลอง Motorheadphones Motorizer ครับ