
Samsung Galaxy Buds+ หูฟังสายแฟชั่นรุ่นสองของตระกูล Buds ที่กลับไปจัดคุณสมบัติมาใหม่ ใส่ของใหม่ๆ เข้ามาทั้งเรื่องของไมค์ การออกแบบ รวมถึงเรื่องของจัดการพลังงาน ภายใต้หน้าตาเรียบๆ ก็มีฟังค์ชั่นอัดอยู่ในนั้นเพียบอยู่
การเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานที่ง่ายกว่า แค่เปิดฝาแล้วจับคู่

โดยมากหูฟังบลูทูธเวลาจะใช้ครั้งแรก หลังการเปิดกล่องเราต้องไปเปิด Setting ที่โทรศัพท์เพื่อให้การคู่ สิ่งที่ผมต้องเขียนทุกครั้งคือว่า คือการหาให้เจอว่าจับคู่กับหูฟังชื่ออะไร แต่กับหูฟังตัวนี้นี่ตัดปัญหาเรื่องนี้ไปเปลาะหนึ่งด้วยการใช้แอพพลิเคชั่น โดยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Galaxy Wearable สำหรับ Android และดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Galaxy Buds+ สำหรับ iOS จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องน่าทึ่งคือการที่แอพนี้มีบน iOS ด้วย และมาด้วยคุณสมบัติแบบเดียวกันแทบทุกอย่าง จะแตกต่างคือบน Android จะมีการแจ้งเตือน Notification ซึ่งในมุมของผมที่ใช้ iOS ด้วยก็ต้องบอกว่า Android จะเด่นกว่าในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องว่าทำไมถึงรองรับทั้งสองระบบคืออยากให้มองแบบนี้ว่าเขาผลิตมาในด้วยความคิดหูฟังคือหูฟัง ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับระบบปฎิบัติการณ์ตัวใดตัวหนึ่ง
วิธีการ Pair กันก็ไม่ยาก ก่อน Pair กันครั้งแรกไปดาวน์โหลดแอพมาติดตั้งให้เรียบร้อยจากนั้นก็เปิดกล่องหูฟัง แล้วตามด้วยเปิดแอพจากนั้นแอพลิเคชั่นก็จะทำการจับคู่ หรือ Paring Request ให้เองครับ อย่างเวลาเราปิดการใช้งานแล้วกลับมาใช้งานอีกครั้งก็ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง
ปรับ EQ หูฟัง Samsung Galaxy Buds+ อย่างไรให้ฟังดี

จากที่เราอยู่หูฟังรุ่นนี้มาพักใหญ่ เราก็สัมผัสได้ว่านี่เป็นหูฟังสายแฟชั่นที่ทำมาเพื่อว่าเน้นฟังง่าย หยิบมาใส่แบบสบายๆ ฉะนั้นในเรื่องของ EQ ก็เช่นกัน ถ้าเป็นหูฟังปกติที่มากับแอพพลิเคชั่น โดยมากนั้นจะใชัเป็น EQ แบบปรับแยกย่านความถี่ตาม Band หรือว่าใช้เป็นการปรับ Curve การปรับแบบนั้นก็ละเอียดดีสำหรับผู้ใช้ที่มีความชำนาญ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสะดวกแบบนั้น การปรับ EQ ของหูฟังรุ่นนี้เลยปรับตามลักษณะของเสียง อยากฟังแบบไหนก็ใช้การ “บิด” เลือกครับ โดยมีตัวเลือกการบิดอยู่ 6 แบบ
Normal – ไม่มีการปรับแต่งใดทั้งสิ้น ต้นทางมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ลักษณะหูออกแบบมาอย่างไร เสียงก็ไปอย่างนั้น
Bass Boost – จะเป็นการดึงเสียงในย่านต่ำขึ้นมา อย่างเสียงกระเดื่องกลอง เหมาะกับเพลงที่เน้นเบสหนักๆ ย้ำๆ ต้องการแรงสั่นกระพือของหางเสียงแบบลากยาวๆ แต่กลาง และแหลมจะลดหลั่นลงไป
เพลงทดสอบในการฟัง : พักก่อน – Milli
Soft – จะเป็นการดึงเสียงในย่านต่ำขึ้นมาแบบเดียวกับ Bass Boost เบสค่อนข้างออกมากลมๆ แต่ไม่เน้นการกระพือยาวๆ เท่า เสียงกลางจะฟังชัดกว่า โปร่งกว่า เพื่มวความนุ่มนวลขึ้นมาอีกนิด
เพลงทดสอบในการฟัง : Rain – Ken The 390
Dynamic – ยังต้องการความกลมของเบสอยู่ แต่ไม่กระแทกกระทั้นมาก ขอบเขตการฟังเสียงไปทางกว้าง อยากได้กลาง อยากได้แหลม อยากได้ความโปร่งมากขึ้นให้เฃือกอันนี้ เป็นเพลง Groove เยอะ ยังต้องการนำหนักของเสียง
เพลงทดสอบในการฟัง : Hurry Xmas – L’Arc-en-Ciel
Clear – เน้นเสียงกลาง เสียงแหลม สำหรับเพลงร้องชัดๆ จะเป็นเสียงกีตาร์สายโลหะ สายเอ็น หรือเพอร์คัสชั่นเบาๆ เน้นสบายๆ ฟังเอาเนื้อเสียงนวลๆ
เพลงทดสอบในการฟัง : แจกัน – สุเมธ & เดอะ ปั๋ง
Treble Boost – เน้นกลาง เน้นแหลม เสียงย่านต่ำไม่เน้นมาก ขอเสียงร้องชัดๆ โหนสูงๆ ปลายใสๆ เน้นไลน์ของเปียโนแบบกระจ่าง ไม่เน้นความเข้นข้น เหมาะกับหาอะไรล้างหู แต่ก็ไม่ได้อยากฟังอะไรที่จางจนจืด
ปรับการแจ้งเตือนผ่าน Samsung Galaxy Buds+ แบบไม่กวนใจใช้ Notifications

คือเวลาเราฟังเพลงเพลินๆ มักจะมีพฤติกรรม และความต้องการอยู่ 2 แบบ คือ
1. ปล่อยฉันอยู่โลกส่วนตัวของฉันไปเถอะ อย่าเอาฉันไปยุ่งกับการแจ้งเตือนจากโลกภายนอกเลย ทั้ง ข้อความขายขนมจีบที่ส่งมา messenger ทั้ง line ไหนจะเจ้านายจะตามงานมาทาง email
2. อยากฟังเพลิน แต่ชีวิตยังต้องเดินด้วยงาน ขอปล่อยผ่านการแจ้่งเตือนบางอย่างได้มั้ย เผื่อใคร CF สั่งของสั่งสินค้ามาจะได้พลาดการติดต่อให้มาต่อว่ากันทีหลังได้
เรื่องการควบคุมแจ้งเตือน หรือ Notification นี่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Android นะครับ คือมาจากลักษณะของ OS ดั้งเดิมด้วย ซึ่งในตัวแอพเราสามารถปรับแต่งให้มีการแจ้งเตือนผ่านหูฟังได้ตามนี้ครับ
- ถ้าต้องการเปิดการแจ้งเตือนไปยังหูฟังให้เลือนไปที่ ON นะครับ แต่ถ้าไม่ต้องการคือยืนยันว่าฉันจะอยู่บนโลกส่วนตัวเท่านั้น ให้เลื่อนปิดการ่ทำงานตรงนี้ไป
- Read aloud while using phone ถ้าต้องการให้มีการแจ้งเตือนเฉพาะตอนที่เปิดใช้งานโทรอยู่ศัพท์อยู่ในมือ คือให้เปิดตรงนี้เปิดไว้ครับ
- Apps to get notification from ตรงหัวข้อนี้คือการเลือกแบบแยกย่อยตามแอพด้วยตัวของเราเองครับสำหรับใครที่ลงแอพเยอะๆ อย่างที่เราใช้เยอะๆ ก็จะมี 3 หัวข้อคือ Allowed ,Blocked และ All
- Allowed คือจะเปิดให้มีการแจ้งเตือน ซึ่งการอนุญาตพื้นฐานนั้น จะมี Alarm ,Message ,Miss Call ,Schedule
- Block คือแอพที่ทำการปิดการแจ้งเตือน คือ นอกเหนือจากแอพที่ติดเครื่องมา 4 แอพข้างต้นจะถูก Block หมดครับ เราต้องไปตั้งปลดล็อคทีละอันเอาเอง
- All คือการเปิดให้เข้าถึงรายชื่อ และสถานะของแอพทั้งหมดครับ
ซึ่งเราแนะนำว่าให้ลองดูความต้องการของตัวเองครับ ว่าจำเป็นต้องมีการแจ้งเตือนที่ตรงไหนบ้าง ซึ่งนอกจากแอพสนทนาแล้ว ยังรวมไปถึงแอพอื่นๆ เช่น แอพหาคู่ แอพเกม และอื่นๆ ที่เราสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนเองได้ครับ
วิธีตั้งเมนูลัดให้หูฟัง SaunSung Galaxy Buds+

เพราะพฤติกรรมการฟังของคนจำนวนไม่น้อยคือมักเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า และการที่หูฟังอยู่ในช่องหู การใช้นิ้วสัมผัสเพื่อทำการควบคุมการเล่นจึงเป็นที่นิยมของผู้ผลิตหูฟัง สำหรับหูฟังที่เป็น in ear แบบนี้จะใช้การสัมผัสเบาๆ นะครับ ย้ำ..ว่าใช้การแตะสัมผัสเบาๆ หูฟังก็เข้าใจในคำสั่งครับ
- สัมผัส 1 ครั้ง : เล่น และหยุดเล่น
- สัมผัส 2 ครั้ง : เล่นเพลงถัดไป ,รับ / วางสาย
- สัมผัส 3 ครั้ง : เล่นเพลงก่อนหน้านี้
- สัมผัส และกดหูฟังค้าง : ใช้งานฟังค์ชั่นที่ตั้งไว้
จากที่เราทดสอบด้วยตัวเองดู คือกหน้าสัมผัสตอบสนองได้ไวแบบแตะปุ๊บทำงานปั๊บ แต่อย่าเผลอไปเคานะครับ ที่ออกมาเตือนเพราะเราเคยเผลอเคาะแล้วมันก็ทำงานครับแต่มันจะกระแทกหูเราดังปั้ก! ถ้าไม่ต้องการใช้คำสั่งนี้เพราะกลัวการไปสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ เราสามารถสั่งล็อคได้นะครับ ด้วยการเลือกหัวข้อ Lock Touchpad
หลายไมค์คุยได้ชัดกว่า และเหตุผลว่าทำไมต้องมี 3 ไมค์

หูฟังรุ่นนี้ชูจุดขายเรื่องไมโครโฟนจำนวน 3 ตัว ซึ่งจากในภาพเราจะเห็นได้ว่ามีไมโครโฟนด้านนอกอยู่แล้ว 2 ตัวจากตามตำแหน่งในภาพซึ่งไมโครโฟนอีกตัวอยู่ในตัวหูฟัง แล้วทำไมต้องมีไมโครโฟนสามตัวสาม
ไมโครโฟนสองตัวมีไว้สำหรับการสนทนา การหูฟังยิ่งมีไมค์หลายตัวเ่ทาไหร่เสียงคุยยิ่งชัดมากขึ้น และไมโครโฟนอีกตัวสำหรับ Ambient Sound การทำงานเบื้องหลังนั้นคือ การดึงเสียงจากข้างนอกเข้ามาผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะทำให้เราได้ยินเสียงจากภายนอก เพราะลักษณะโดยกายภาพของหูฟังแบบ in ear คือเมื่อเราใส่ Ear tip เข้าไปจุกยางจะปิดกั้นเสียงอยู่แล้ว ฉะนั้นการได้ยินเสียงจากภายนอกก็จะลดลงไป
การตั้งค่า Ambient Sound นั้นมี 3 ระดับคือ Low , Medium และ High ซึ่งแยกตามความดัง ถ้าคิดแบบคนทั่วไป อ้าว..ก็จะแบ่งกันไปทำไม ในเมื่อตั้งไว้ใก้ดังสุดมันก็ฟังชัดสุดต้องดีที่สุดสิ แต่ดูให้ดีๆ ในส่วน High นั้นจะมีคำเตือนอยู่ อย่างที่เขียนไปในวรรคก่อนหน้าครับ คือระบบนี้ใช้ไมค์รับเสียงมาจากภายนอก แล้วตำแหน่งของไมค์สนทนาก็จะอยู่ใกล้ๆ กัน ฉะนั้นถ้ามีเสียงเล็ดรอดเข้า อาจจะเกิดการวิ้ดของเสียงแบบที่เรียกว่าไมค์หอนหรือที่เรียกว่า feed back ได้ คำแนะนำของผมคือ ถ้าไม่แน่ใจในสภาพแวดล้อมให้เปิดแค่ Low หรือ Medium ก็พอครับ
Samsung Galaxy Buds+ Tips

- ด้วยความที่หูฟังตัวนี้ถูกวางตำแหน่งว่าเป็นเหมือน Gadget ตัวนึง ฉะนั้นจึงมีการอัพเดทซอฟท์แวร์ในตัวเองด้วย ให้เข้าไปที่ Eardbuds Software Update ครับ คือเราแนะนำว่า การอัพเดทนั่นน่าจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คุณควรจะทำหลังการ Pair หูฟังกับโทรศัพท์เป็นครั้งแรก แล้วต่อ Wi-Fi กันเป็นประจำอยู่แล้ว ลองเปิดที่หัวข้อ Auto download over Wi-Fi เพื่อให้มีการอัพเดทเป็นซอฟท์แวร์รุ่นล่าสุดอย่างสม่ำเสมอครับ
- ถ้าวันไหนเราเกิดหาหูฟังไม่เจอแบบ เอ๊ะ..หูฟังไปหล่นอยู่ตรงไหนของบ้าน หรือว่ากลิ้งไปที่ตรงไหนของเบาะใต้รถ ให้เข้าไปที่เมนู Find My Earbuds กดไปที่ Start จากนั้นหูฟังจะส่งเสียงดังปิ๊บๆ ออกมา แต่แนะนำว่าอย่าลองใช้คุณสมบัตินี้ตอนที่เสียบหูฟังครับ เพราะจะอันตรายต่อหู
- ถ้าอยากปล่อยให้เสียงจากข้างนอกเข้ามาดังๆ ฟังชัดๆ ระหว่างที่คุยโทรศัพท์ จากโหมด Ambient Sound ให้เข้าไปที่เมนู Advanced จากนั้นเปิดเลือก Use Sound during Calls ครับ
ซื้อดีมั้ยหูฟัง Samsung Galaxy Buds+

“Music is Fashion” นั่นคือคำนิยามที่ผมเอาไว้เรียกหูฟังรุ่นนี้ คือ เป็นหูฟังเสียงอสำหรับฟังเพลแนวร่วมสมัยดีไซน์เรียบๆ แบบ Minimal คือ มันไม่ใช่หูฟังที่หวือหวาออกแบบมาทรงนี้คืออยู่ได้นานๆ หยิบขึ้นมาจับคู่กับอะไรก็ได้กับอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะแต่งตัว หรือการจับคู่กับโทรศัพท์คือมันเป็นมิตรกับผู้ใช้มาก คือในบรรดาหูฟังเรทราคาต่ำกว่าห้าพันบาทที่ผมมีครอบครองหลายคู่ ผมยืนยันเลยว่านี่คือหูฟังที่จับคู่ได้ “ง่าย” มากที่สุดตัวนึง ขอให้คุณเปิดแอพแล้วกลับเปิดฝา เพราะบางทีผมก็สลับไปสลับมากับระบบเสียงรถยนต์ และลำโพงอื่นๆ

ในแง่ของการฟังเพลง ผมแนะว่าสำหรับเพลง POP เพลง Dance เพลง Hip-Hop ยุคหลังปี 2010 คือฟังอะไรที่จัดจ้าน ฟังเพลงที่มิกซ์เสียงมาแบบสมัยใหม่ในช่วงสักสิบปีนี้จะเหมาะกับการฟังผ่านหูฟังตัวนี้มาก คือเอาจริงๆนะ ถ้าเอาไปใช้เล่นเกมก็จัดว่าสนุกใช้ได้ ดูหนังเสียงก็ไม่ดีเลย์คือเป็นหูฟังเกิดมาเพื่อทำงานแบบ Over All คือคน Gex Y คน Gen Z น่าจะชอบ
ถ้าผมต้องออกจากบ้านไปซะครึ่งวัน แล้วจะหาหูฟังตัวเล็กๆ ชาร์จไฟง่ายๆสักตัว หยิบมาเผื่อดูหนัง ฟังเพลงนอกบ้าน จาก Streaming ที่จัด Playlist พวกเพลงใหม่ประจำสัปดาห์คือไม่อยากคิดเยอะ แล้วเผื่อไว้สำหรับคนโทรมา บอกเลยนี่จะเป็นหนึ่งคู่ที่อยู่ในกระเป๋าผม อีกเหตุผลคือ นี่เป็นหูฟังชาร์จง่ายมีสาย USB Type-C เส้นเดียวเปรี้ยวได้แล้ว และรองรับ Wireless Charge ด้วยถ้าแบตโทรศัพท์ยังเหลือก็เอามาประกบหลังแบ่งไฟมาให้บ้าง แต่เอาจริงแบตเตอรี่มันก็อึดอยู่นะ ลำพังแค่ตัวหูหูอยู่ได้ 11 ชั่วโมง ใส่ตลับนี่อยู่ได้ 22 ชั่วโมง คือันนี้บอกเผื่อไว้กันลืมจะได้ไม่ยืนซึมว่าหิ้วมาทำไมเมื่อไม่มีไฟเหลืออยู่ในหู แต่เอาจริงๆผมคิดว่า 2-3 วันชาร์จทีนึงนี่กำลังสวย
คืออย่างที่บอกคือในแง่การตลาดเขาก็ชัดเจนว่านี่คือหูฟังแฟชั่น คืออย่าไปคิดเยอะถ้าจะคบกับหูฟังตัวนี้ ถ้าอยากจะให้ฟังละมุนหู ฟังดูดีมีพรีเมี่ยม AKG Y500 ที่เราเคยรีวิวไว้ก่อนหน้าดูจะเหมาะกว่า นั่นคือซัมซุงเขาวางตำแหน่งไว้แบบนั้นแยกกันชัดเจนครับ สีที่วางจำหน่ายตอนนี้มี สีขาว สีดำ สีแดง สีฟ้า และสีแดง ในราคา 4,990 บาทครับ

ขอบคุณ : Samsung Thailand ที่เอื้อเฟื้อสินค้าในการทดสอบครับ