iPhone 12 กับการมาทั้งหมด 4 รุ่นก็ถือว่าครอบคลุมการใช้งานในแทบทุกตลาด แต่ก็มากับหลายสิ่งหายไป หลายสิ่งที่จะเปลี่ยนความคุ้นชินของเราไป จนเกิดคำถามขึ้นว่า รุ่นนี้น่าซื้อจริงหรือไม่ เรามาลองวิเคราะห์กันว่า สิ่งไหนที่หายไป กับสิ่งใหม่ที่เข้ามา คุ้มค้าพอที่จะจ่ายหรือเปล่า
A14 Bionic ขุมพลังความแรงใหม่ ทิ้งห่างให้ไกลอีก 50%
iPhone 12 Pro จะมากับชิป A14 Bionic ของ Apple ซึ่งหลายคนก็คงเห็นแล้วว่า มากับการเปิดตัวของ iPad Air รุ่นปี 2020 ซึ่งชิปตัวใหม่นี้เป็นชิปตัวแรกของ Apple ที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร โดยจะเป็น CPU 6 Core และ GPU แบบ 4 Core
ของเดิม A13 Bionic จะเป็น 7 นาโนเมตรที่ใช้กับ ซึ่งแอปเปิ้ลอ้างว่างเร็วกว่าของค่ายอื่น 50% เรื่องนี้พวกเขาคงยืนยันกับผู้ใช้ว่า เราคงไม่แข่งกับใครเอาชนะแค่ตัวเองก็พอ .. ส่วนรายอื่นขอให้ตามฉันมาให้ทันก็แล้วกัน อาจจะมีหันปรายตามายังไปยัง Qualcomm อยู่นิดๆ
ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ : ถ้าใช้งานทั่วไปจาก iPhone 11 Pro หรือสูงกว่านั้น อาจจะยังยั้งๆ มือไว้ก่อนก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณกระโดดมาจาก iPhone 8 หรือ iPhone X คุณคงจะเห็นความแตกต่างแบบรู้สึกได้กับการใช้แอพลิเคชั่นที่ต้องมีการประมวลผลสูงๆ เช่น วิดีโอ หรือคิดว่าจะหันมาใช้แอพสาย AR
การเดินเกมใหม่กับการชาร์จไร้สาย กับหัวชาร์จที่หายไป
ถ้าการแข่งขันของฝั่งแอนดรอยด์ คือการพยายามชาร์จไฟให้ไวที่สุด แต่นั่นก็ยังคงเป็นการชาร์จไฟแบบมีสาย ฝั่งแอปเปิ้ลก็มีการเปิดสนามแข่งใหม่ในเกมของตัวเอง
คือ iPhone 12 รองรับความเร็วในการชาร์จไร้สายที่ 15 W ขณะที่มาตรฐาน QI อยู่ที่ 7.5W บางทีเหตุผลในการตัด Adaptor สำหรับการชาร์จอาจจะไม่ใช่แค่ว่าต้องการรักษ์โลก แต่ลึกๆ อาจจะหมายถึงว่าถ้าไม่มัดมือชกกับผู้ใช้ ก็คงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงให้มาใช้นวัตกรรมใหม่ของพวกเขาแน่ๆ นั่นถือว่าเป็นการเดิมพันเบาๆ เพราะพวกเขาก็ยังมีขายแยกอยู่ดีในราคา 600 กว่าบาท
มีคนเปรียบเปรยว่า นี่คือแท่นชาร์จ Apple Watch ขนาดใหญ่
จะเรียกแบบนั้นก็ได้เพราะแอปเปิ้ลเองก็พยายามให้ตลาดเรื่องนี้มาพักใหญ่
ถ้าถามว่าผู้ใช้ได้อะไร เรื่องดีก็คือลดความเกะกะของสาย โดยที่ความเร็วในการชาร์จไร้สายที่ว่าล่าช้าอันเป็นปัญหาได้ถูกพัฒนาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่ามาตรฐาน รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ 3rd party ที่เป็นที่ชาร์จไร้สายเช่นกัน อย่าง Belkin
ในอีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือ MagSafe รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ขอองพวกเขาเองที่ขายตามๆ กันเช่น เคส หรือว่ากระเป๋าสตางค์
ส่วนการตัดหูฟังออกไปคงไม่น่าแปลกใจ เพราะในส่วนสินค้าของตระกูล AirPods ตอนนี้ก็ แท้ว่าพวกเขาจะทำกำไรได้ในส่วนนี้มาก และพยายามบอกว่าคุณค่าคือการใช้งานร่วมกันอย่างราบรื่นทั้งการสั่งงานด้วยเสียง การเชื่อมต่อที่ง่าย ลดภาระการใช้สายออกไป แต่เราคิดว่าหลังจากนี้อาจจะเห็นความพยายามของแอปเปิ้ลที่ทำมาเพื่อให้ครอบคลุมทุกช่วงราคาแบบเดียวกับไอโฟน เพราะตอนนี้คู่แข่งก็วางหมากดึงไว้ในแง่การทำราคาให้ได้ดีกว่า
ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ : เปลี่ยนเป็นคำว่าแอปเปิ้ลได้กำไรจากการค้าความสะดวก จากวิถีชีวิตแบบใหม่ของผู้ใช้เสียมากกว่า
6.1 และ 6.7 นิ้ว จอใหญ่จัดพอจะมัดใจใครได้บ้าง
iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max มีการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นอีกนิดในเรื่องจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย คืออยู่ที่ 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้ว เมื่อเทียบกับ 5.8 นิ้วและ 6.5 นิ้วใน 11 Pro และ 11 Pro Max
หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นนี่คือขึ้นไปยืนชนกับใครได้บ้าง ?
คู่แข่งที่พอฟัดกันไหวก็อย่าง Samsung Galaxy S20 Plus ,Samsung Galaxy Note 20 และ OnePlus 8 Pro
แต่เอาจริงแล้วคู่ฟัดตลอดกาลอย่าง Samsung ก็ยังมีรุ่นตระกูล Ultra ที่ขนาดจอเฉือนไปใหญ่กว่าอยู่นิดๆ .. ทำไมแอปเปิ้ลเลือกที่จำหน้าจอมาขนาดนี้ เรามองในมุมนี้ว่า
6.1 นิ้ว ถ้าเอามาเล่นเกม หรือดูภาพยนต์ก็ถือว่าเต็มตามากขึ้น ถึงไอโฟน 11 จะขึ้นชื่อว่าเป็นโทรศัพท์ที่เล่นได้ดีมาก ดูหนังได้เพลิน แต่ถ้าเดินไปชนกับแอนดรอยด์แบบตรงๆ คนโดนตบคว่ากฃับมาเพราะว่า เล่นเกมนานๆ ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ดูหนังก็ไม่เต็มตา
ส่วนที่ไม่ขยายขนาดไปเท่าตระกูล Ultra เรามองว่า โทรศัพท์ขนาดนั้นอีกนิดเดียวจะเรียกว่า Phablet 7 นิ้ว ซึ่งอาจจะใหญ่เกินไปสำหรับมือผู้ใช้กลุ่มหนึ่งแต่คนที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือคนที่ใช้ไอโฟนสำหรับงานโปรดัคชั่นนี่ล่ะ แต่ขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาของไอโฟน 12 ไม่น่าจะมี Gimbal สำหรังโทรศัพท์เจ้าไหนที่รองรับได้ .. แต่ใครจะแคร์เพราะใส่กันสั่น OIS ขั้นสุดมาให้แล้วนี่ ! .. ผมเดาใจแอปเปิ้ลแบบนั้น
ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ : ถนัดมือขึ้น เต็มตาขึ้นอีกนิดยึง และแอปเปิ้ลยังปิดช่องว่างในการถูกเปรียบเทียบจากผู้ผลิตแอนดรอยด์รายอื่น
mmWave 5G ที่ยังไม่มาเพราะว่ายังไม่พร้อม ?
mmWave 5G ที่มีใช้แค่อเมริกาส่งผลกับผู้ใช้ที่อื่นมั้ย ?
ถ้าเราดูจาก https://www.apple.com/iphone/cellular/ ก็จะเห็นว่า ชื่อของ Thailand จะถูกวางตำแหน่งในประเทศส่วนใหญ่ของโลก
แล้วทำไม iPhone 12 ไม่รองรับ mmWave 5G นอกอเมริกา
ถ้าอ่านดีๆ จะเห็นว่าย่านความถี่ n260 และ n261 นั้นที่อื่น ๆ ประเทศอื่นๆบนโลก เขาก็ไม่มีกัน
คือการได้รับความเร็วระดับ 1Gbps ขึ้นไปตามทฤษฎีของ ของ mmWave ในการใช้งานมันก็ดีอยู่หรอก แต่ประเทศที่เริ่มมีการทดลอง ก็ยังไมได้มีการจำหน่ายไอโฟนรุ่นที่รองรับเช่นเดียวกัน เราเลยมองว่า นี่คือตามสไตล์เดิม คือเพิ่มเมื่อให้ เมื่ออะไรๆ พร้อม
ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ : 5G มาช้าแต่มานะ
Lidar คืออะไร ?
Lidar ย่อมาจากคำว่า “Light Detection and Ranging” คือ เป็นวิธีการวัดช่วงของระยะทางโดยการส่องสว่างเป้าหมายด้วยแสงเลเซอร์ และวัดการสะท้อนด้วยเซ็นเซอร์
โดยความแตกต่างของเวลาในสะท้อนกลับของเลเซอร์ และความยาวคลื่น สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างโครงแบบ 3 มิติแบบดิจิทัลของเป้าหมายได้ โดยข้อมูลดิบที่ได้จะเป็นข้อมูลที่เป็นลักษณะ DSM หรือ Digital Surface Model
Lidar มักใช้ในการสร้างแผนที่ที่มีความละเอียดสูงโดยใช้ในการสำรวจภูมิศาสตร์ธรณี ใช้ในงานด้านโบราณคดี งานด้านแผ่นดินไหว การทำแผนที่เลเซอร์ในอากาศ (ALSM) และ เครื่องวัดระยะสูงด้วยเลเซอร์ เทคโนโลยีนี้ยังใช้ในการควบคุมและการนำทางสำหรับรถยนต์แบบที่ชับเคลื่อนเองในบางรุ่น
ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงใส่มาในกล้องเพราะแอปเปิ้ลเองต้องการเจาะฐาน และต้องการเป็นผู้นำด้าน AR
ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ : กล้องโฟกัสดีขึ้นแน่ๆ ส่วน AR เราเรียกว่ายังเป็นของแถมที่รอเป็นตัวเอกในวันหน้า แต่ไม่น่าจะเร็วๆ นี้
iPhone 12 Pro Max ราคาที่ต้องแลกมาสำหรับสายโปรดักชั่น
กล้องสามตัวยังคงปรากฎอีกอีกครั้ง โดยมากับพร้อมเลนส์กว้าง 12 ล้านพิกเซลเทเลโฟโต้ และเลนส์กล้องอัลตร้าไวด์ มีรูรับแสง f / 1.6
ซึ่งมีการกล่าวว่า ประสิทธิภาพในที่แสงน้อยที่ดีขึ้น 27 % ในขณะที่เทเลโฟโต้โฟกัส 52 มม. มีช่วงซูมออปติคอล 4 เท่า
นั่นคือการที่ปิดจุดอ่อนของตัวเองขึ้นมาอีกนิด หลังจากถูกแอนดนอยด์หลายค่ายตีซะตาปิดในเรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อย
เอาจริงๆ แค่รุ่น 12 Pro นั้นก็เหลือเฟือแบบไม่ต้องเผื่อสำหรับคนทั่วไป แต่กล้องที่ดีกว่าสำหรับสายโปรดัคชั่น มันมีจุดขายตรงนี้
ถ้าต้องการระบบกันสั่นที่ดีขึ้นไปอีก iPhone 12 Pro Max นั่นคงจะเป็นคำตอบเดียวที่มี
นอกจากเลนส์เทเลโฟโต้ความละเอียด 12MP ที่มากับทางยาวโฟกัส 65 มม. ที่สามารถซูมเข้าได้สูงสุด 2.5 เท่า มีกล้องหน้าที่มีรูรับแสง f / 1.6
และยังมาระบบ OIS แบบใหม่ เซ็นเซอร์แบบกว้างยังมีขนาดใหญ่ขึ้น 47 เปอร์เซ็นต์รวมถึงรูรับแสงที่ต่ำลงเพื่อประสิทธิภาพในที่แสงน้อยที่ดีขึ้น 87 %
สายถ่ายภาพคงรู้กันดีอยู่ว่า ประโยชน์ของไฟล์ RAW นั้นคือความยืดหยุ่นในการปรับเช่น ความคมชัด ไฮไลท์สี และอื่น ๆ “Apple ProRAW” ซึ่งจะมีให้ใช้งานบน iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max โดยจะทำงานร่วมกับคุณสมบัติด้านการถ่ายภาพ เช่น Deep Fusion และ Smart HDR
ในแง่ของการถ่ายวิดีโอ ก็เพื่มความสามรถในการถ่ายวิดีโอแบบ HDR เป็นครั้งแรก
รวมถึงรองรับการถ่ายภาพโดยตรงใน Dolby Vision HDR iPhone 12 และสามารถแก้ไขวิดีโอ Dolby Vision HDR ได้โดยตรง
นั่นยังรวมไป ระบบ OIS ใหม่ ปรับแก้ตำแหน่งได้ถึง 5,000 ครั้งต่อวินาที
LiDAR ช่วยให้การออโต้โฟกัสเร็วขึ้นสูงสุด 6 เท่าในสภาวะแสงน้อย ช่วงซูมแบบ optical 5 เท่า ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลใหม่ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ซึ่งจะอยู่ในรุ่น Pro Max
ผู้ใช้ได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ : iPhone 12 Pro Max จะยึนคงยืนหนึ่งสำหรับคนออกกองถ่ายสายมือชีพต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ Mac ส่วนแอปเปิ้ลก็วางหมากการสกัดการพัฒนาสมาร์ทโฟนสายครีเอเตอร์จากซัมซุง และหัวเว่ย