AI จะ “ใช้ได้เรื่องหรือไม่” มันขึ้นอยู่กับ “วิธีใช้” ของฝั่งมนุษย์ครับ !!!
ผู้ที่กล่าวเช่นนี้คือคุณ “ริคิจู อิชิอิ” ผู้ที่จัดอบรมด้านการคิดและสร้างสรรค์ไอเดียให้กับบริษัทกว่า 600 แห่ง รวมถึง Google, Microsoft, NTT Docomo, Fujitsu, KDDI และมีผู้เข้าร่วมอบรมแล้วกว่า 20,000 คน เขาได้รวบรวม Know-how เหล่านั้นมาเป็นหนังสือชื่อ “『AIを使って考えるための全技術』” (รวมเทคนิคการใช้ AI เพื่อคิด) ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ด้วย AI ซึ่งเพิ่งวางจำหน่ายไปครับ
ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่หนาถึง 680 หน้า ราคา 2,700 เยน หรือที่เรียกกันว่า “อาวุธหนังสือ” (鈍器本 – Donkihon, ภาษาแสลงหมายถึงหนังสือที่หนาจนใช้เป็นอาวุธได้ 555) แต่มันก็กลายเป็นกระแสและได้รับเสียงตอบรับว่า “อ๋อ ต้องคุยกับ AI แบบนี้นี่เอง!” หรือ “คุ้มค่ากว่าราคาเป็น 100 เท่า!”
คุณ “มาซาฮารุ คาโต้” ผู้เขียนหนังสือ Bestseller ด้านการคิดอย่าง 『考具』 (Kōgu – เครื่องมือคิด) ก็มาเป็นผู้ดูแล (監修) ให้อย่างเต็มที่ และการันตีเลยว่า “ถ้าใช้เล่มนี้ ใครๆ ก็เป็นอัจฉริยะด้าน ‘การคิด’ ได้” เราจะมาแนะนำวิธีใช้ AI ที่มีประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้กันครับ
“วิธีถาม” AI เพื่อคาดการณ์ “100 ปีข้างหน้า”
มีหลายฉากมากที่เราสามารถใช้ AI ในการทำงานได้ แต่การใช้มันแค่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงาน (Efficiency) หรือทำงานอัตโนมัติ (Automation) มันก็น่าเสียดายไปหน่อยครับ เราสามารถใช้ AI ใน “งานที่ต้องใช้หัวคิด” อย่างการคิดไอเดียใหม่ๆ ได้ด้วย
แต่ว่า ถ้าเราถามไปแบบส่งๆ ก็จะไม่ได้คำตอบที่มีคุณภาพหรอกครับ เวลาที่ได้คำตอบห่วยๆ (ロクでもない) กลับมา ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเพราะคำถาม (Prompt) ของฝั่งมนุษย์เรานี่แหละที่ไม่เหมาะสมเอง
ตัวอย่างเช่น เวลาที่อยากสร้างไอเดียที่มัน Innovative (สร้างสรรค์นวัตกรรม) ผมขอแนะนำเทคนิคที่ 56: “การพยากรณ์ 100 ปี” (百年の予測)” ครับ
นี่คือ Prompt ที่ใช้ครับ:
<คำสั่งสำหรับ AI (Prompt)>
`คุณคิดว่า 〈กรอกชื่อสินค้า/บริการ/พฤติกรรม/แนวคิด ฯลฯ〉 ในอีก 100 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?`
นวัตกรรมที่เกิดจากไอเดีย ต้องใช้เวลายาวนาน 20 ปี, 30 ปี ค่อยๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและผู้คน
ในการคิดไอเดียที่สร้างสรรค์นวัตกรรมแบบนั้น การคาดการณ์แค่ 3 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้ามันจะเพียงพอเหรอครับ? ในเวิร์กช็อปผมมักจะบอกว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองคิดไอเดียที่มองไกลไปถึง 100 ปีข้างหน้าเลยดีมั้ยครับ”
“จะให้คิดเรื่อง 100 ปีข้างหน้า… มันเป็นไปไม่ได้หรอก…”
อาจจะมีคนที่รู้สึกแบบนั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าเรายืมพลังของ AI ล่ะก็ การคาดการณ์ 100 ปีข้างหน้าก็เป็นไปได้ครับ
วิธีการนั้นก็คือเทคนิค “การพยากรณ์ 100 ปี” นี่แหละครับ เราจะไม่ให้มันคิดถึงอนาคตอันใกล้แค่ 5-10 ปี แต่จะให้ AI ช่วยจินตนาการถึง 100 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นจุดที่ยากจะจินตนาการแบบเป็นเส้นตรงต่อจากปัจจุบัน (地続きでは発想しにくい) ปกติ AI มันจะไม่ค่อยกล้าคาดการณ์อนาคตเท่าไหร่ (尻込みしがち – tends to hesitate) แต่พอเป็นสเกลที่ยิ่งใหญ่ระดับ 100 ปี มันกลับตอบมาค่อนข้างตรงไปตรงมาเลยล่ะครับ
ลองมาวิเคราะห์ “การอ่านหนังสือ” ในอีก 100 ปีข้างหน้ากัน
จากการมาของอินเทอร์เน็ต, SNS และ AI ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่พฤติกรรมที่ทำต่อเนื่องกันมาหลายร้อยปีก็ไม่มีข้อยกเว้น 30 ปีก่อน จะมีใครคาดเดาได้มั้ยครับว่าอนาคตเราจะทำงานได้โดยไม่ต้องไปออฟฟิศ?
ยิ่งเป็นประสบการณ์ที่เราคิดว่า “ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้ ต่อไปก็คงเป็นแบบนี้ อีก 100 ปีก็คงไม่เปลี่ยนหรอก” เนี่ย พอเราลองคาดการณ์อนาคตของมันดู อาจจะได้คำตอบที่น่าประหลาดใจก็ได้นะครับ ตัวอย่างเช่น “การอ่านหนังสือ” ที่คุณกำลังทำอยู่ตอนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมานี่แหละครับ
<คำถามถึง AI>
`คุณคิดว่า 〈การอ่านหนังสือ〉 ในอีก 100 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?`
พฤติกรรมที่ดำเนินมาหลายร้อยปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงนี้ AI จะคิดยังไงกับอนาคตของมันกันนะ?
<คำตอบจาก AI>
การอ่านหนังสือในอีก 100 ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ที่จะมีรูปแบบที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก ด้านล่างนี้คือการคาดการณ์ว่าการอ่านหนังสือในอนาคตจะวิวัฒนาการไปอย่างไร:
การอ่านแบบดิจิทัลเชิงโต้ตอบ (Digital Interactive Reading)
- หนังสือจะไม่ใช่แค่ตัวอักษรอีกต่อไป แต่จะรวมองค์ประกอบมัลติมีเดียเข้าไปด้วย เช่น วิดีโอ, เสียง, กราฟิกแบบโต้ตอบ ที่จะทำให้ผู้อ่านดื่มด่ำกับเรื่องราวได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- อาจจะมีการใช้เทคโนโลยี AR หรือ VR ทำให้การอ่านกลายเป็นประสบการณ์ 3 มิติ เช่น เวลาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ก็สามารถจำลองภูมิทัศน์หรือเหตุการณ์ในยุคนั้นมาแสดงต่อหน้าได้
ผู้ช่วย AI และการอ่านแบบปรับแต่งเฉพาะบุคคล
- AI จะสามารถปรับแต่งประสบการณ์การอ่านให้เข้ากับแต่ละบุคคลได้ โดยจะปรับเนื้อหาหรือคำอธิบายให้สอดคล้องกับความชอบ, ความสนใจ หรือสไตล์การเรียนรู้ของผู้อ่าน
* จะมีผู้ช่วย AI ที่คอยตอบคำถามแบบเรียลไทม์ระหว่างอ่านหนังสือ ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น
การเชื่อมต่อระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface)
- หากเทคโนโลยีที่ส่งข้อมูลเข้าสู่สมองโดยตรงพัฒนาขึ้น รูปแบบ “การอ่าน” หนังสืออาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ อาจจะไม่ใช่การใช้ตามองตัวอักษร แต่เป็นการส่งข้อมูลเข้าสู่สมองโดยตรงและเข้าใจได้ในทันที
การอ่านแบบมีชุมชนเป็นฐาน (Community-based Reading)
- โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์จะพัฒนาไปอีกขั้น ทำให้ประสบการณ์การอ่านกลายเป็นแบบมีชุมชนเป็นฐานมากขึ้น ผู้อ่านสามารถแบ่งปันความรู้สึกแบบเรียลไทม์ หรืออ่านหนังสือร่วมกัน ทำให้เกิดประสบการณ์การอ่านเชิงสังคม
การตีพิมพ์ด้วยตนเองและเรื่องเล่าแบบให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม
- ด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ใครๆ ก็สามารถตีพิมพ์หนังสือได้อย่างง่ายดาย และรูปแบบที่ผู้อ่านสามารถมีอิทธิพลต่อการดำเนินเรื่องหรือตอนจบของเรื่องเล่า (Interactive) อาจจะแพร่หลายมากขึ้น
การอ่านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- เทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะพัฒนาขึ้น การใช้กระดาษจะลดลง ในขณะที่อุปกรณ์ที่ใช้วัสดุที่ยั่งยืนหรือประหยัดพลังงานจะแพร่หลายมากขึ้น
การคาดการณ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จึงยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นจริงได้แค่ไหน แต่พฤติกรรมที่เรียกว่า “การอ่าน” จะยังคงวิวัฒนาการต่อไปอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่า AI จะจับประเด็นที่น่าจะเป็นสามัญสำนึกใหม่ๆ ในอนาคตได้ดี ทั้งในแง่เทคโนโลยี, ชุมชน, การตีพิมพ์ด้วยตนเอง ไปจนถึงค่านิยมเรื่องสิ่งแวดล้อม ในนี้มีบางอย่างที่เกิดขึ้นจริงแล้วด้วย
สิ่งที่เราอยากรู้คือ “100 ปีข้างหน้า” ครับ คำตอบนี้รู้สึกว่ายังคาดการณ์อนาคตได้ไม่ “กล้าหาญ” (Daring) พอ งั้นเรามาขอ “มากกว่านี้” จาก AI กันเถอะ
<คำถามถึง AI>
`ช่วยคาดการณ์ “การอ่านหนังสือ” ในอีก 100 ปีข้างหน้า ที่มัน “ทะเยอทะยาน” (意欲的な) กว่านี้หน่อย`
แค่เราเติมคำว่า “ทะเยอทะยาน” เข้าไปแบบนี้ ก็จะดึงไอเดียที่กล้าหาญ (Daring/Bold) ออกมาจาก AI ได้ครับ
<คำตอบจาก AI>
ในฐานะการคาดการณ์ที่ทะเยอทะยานยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการอ่านในอีก 100 ปีข้างหน้า ลองพิจารณาไอเดียที่ปฏิวัติวงการดังต่อไปนี้ครับ:
การดาวน์โหลดข้อมูลเข้าสมอง
- พฤติกรรมการ “อ่าน” จะเปลี่ยนไปเลย อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ “ดาวน์โหลด” เนื้อหาของหนังสือเข้าสู่สมองโดยตรงแทนการอ่านข้อความ ทำให้สามารถเข้าใจเนื้อหาและเรียนรู้ความรู้ได้ในทันที
การอ่านแบบโฮโลแกรมเชิงประสบการณ์
- เทคโนโลยีโฮโลแกรมจะพัฒนาไปไกล จนผู้อ่านสามารถ “เข้าไป” อยู่ในเรื่องราวได้จริงๆ เช่น เวลาอ่านนิยายประวัติศาสตร์ ก็สามารถสัมผัสโลกในยุคนั้นผ่านโฮโลแกรม และพูดคุยกับตัวละครได้
การอ่านแบบ Biofeedback
- จะมีการใช้เทคโนโลยี Biofeedback (การตรวจจับสัญญาณร่างกาย) ทำให้หนังสือแบบอินเทอร์แอคทีฟสามารถเปลี่ยนเนื้อเรื่องไปตามอารมณ์หรือปฏิกิริยาของผู้อ่านได้ เช่น ตอนที่ผู้อ่านกำลังเครียด เรื่องราวก็จะยิ่งตึงเครียดมากขึ้น ตอนที่ผ่อนคลาย เรื่องก็จะดำเนินไปอย่างสงบ เป็นการปรับแต่งประสบการณ์การอ่านแบบเรียลไทม์
การอ่านโดยจิตสำนึกร่วม
- ผู้คนหลายคนจะสามารถ “อ่าน” หนังสือเล่มเดียวกันได้พร้อมกันผ่านเครือข่าย และสัมผัสเรื่องราวผ่านจิตสำนึกร่วม (Collective Consciousness) ทำให้เกิดการแบ่งปันความรู้สึกและความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ระหว่างผู้อ่านได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การอ่านแบบรับรู้ความรู้สึกผ่านนาโนเทคโนโลยี
- จะมีการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้นาโนเทคโนโลยี ทำให้ผู้อ่านสามารถ “รู้สึก” ถึงส่วนหนึ่งของเรื่องราวได้จริงๆ ระหว่างอ่าน เช่น ในฉากที่ตัวละครรู้สึกหนาว ผู้อ่านก็จะรู้สึกหนาวไปด้วย ทำให้สามารถสัมผัสองค์ประกอบด้านความรู้สึกของเรื่องราวได้โดยตรง
เรื่องเล่าที่วิวัฒนาการได้ด้วยตัวเอง
- หนังสือที่ใช้ AI และ Machine Learning จะสามารถวิวัฒนาการตัวเองตามฟีดแบ็กของผู้อ่านได้ เรื่องราวจะเปลี่ยนไปตามตัวเลือกหรือปฏิกิริยาของผู้อ่าน ทำให้เกิดตอนจบหรือการดำเนินเรื่องที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การอ่านที่สดใหม่ได้เสมอไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้ง
อุปกรณ์อ่านหนังสือที่ซิงค์อารมณ์
- จะมีการพัฒนาอุปกรณ์ที่ซิงค์อารมณ์ระหว่างอ่าน ทำให้ผู้อ่านสามารถสัมผัส “อารมณ์” ที่ผู้เขียนตั้งใจสื่อออกมาได้โดยตรง ทำให้การเข้าถึงอารมณ์ (Empathy) ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และรู้สึกถึงความประทับใจหรือความตื่นเต้นในเรื่องราวได้สมจริงยิ่งขึ้น
การอ่านในพื้นที่ AR (Augmented Reality Field)
- เทคโนโลยีจะพัฒนาไปถึงจุดที่เมื่อเราไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จะมีเรื่องราวหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้นแสดงขึ้นมาในรูปแบบ AR เช่น เมื่อไปยืนอยู่หน้าวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ หนังสือหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาใน AR ให้เราเพลิดเพลินกับประสบการณ์การอ่านได้ ณ ตรงนั้นเลย
- รูปแบบการอ่านในอนาคตเหล่านี้ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริงจะขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน แต่ที่แน่ๆ คือ ประสบการณ์การอ่านจะกลายเป็นสิ่งที่โต้ตอบได้และดื่มด่ำ (Interactive & Immersive) มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
—
เยี่ยมไปเลยครับ! ไอเดียอย่าง “การอ่านแบบรับรู้ความรู้สึกผ่านนาโนเทคโนโลยี” นี่ ได้กลิ่นอายแบบ Sci-Fi (นิยายวิทยาศาสตร์) ซึ่งเรายินดีต้อนรับเลยครับ มันเป็นอนาคตที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริงๆ
อย่างที่เขาว่ากันว่า “หนทางพันลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก” อนาคตทุกรูปแบบล้วนเกิดจากก้าวแรกของวันนี้และพรุ่งนี้ครับ
เมื่อเราเห็นการคาดการณ์อนาคตเหล่านี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบคิดไอเดียที่ท้าทายการคาดการณ์ 100 ปีข้างหน้าในทันที
แต่ให้เรามุ่งหน้าไปยัง “ทิศทาง” ของอนาคตนั้น ขอแค่ “บิดองศา” ออกไปจากเดิมเพียง “1 องศา” ก็พอ แล้วก้าว “ก้าวเล็กๆ” นั้นออกไป
ผมเชื่อว่าไอเดียแบบนั้นแหละครับ ที่จะได้รับการยอมรับในยุคสมัยที่กำลังจะมาถึง และจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในอีก 100 ปีข้างหน้า
เทคนิคที่ 56 “การพยากรณ์ 100 ปี” ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ
*(บทความนี้เป็นเนื้อหาที่คัดลอกและเรียบเรียงบางส่วนจากหนังสือ 『AIを使って考えるための全技術』 (รวมเทคนิคการใช้ AI เพื่อคิด) นอกจากนี้ ในหนังสือยังมีเทคนิคอีก 56 วิธีที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการคิดโดยใช้ AI)*