Samsung Galaxy Buds 2 เป็นหูฟังที่หน้าตาเรียบมาก และการทำตลาดก็ดูเรียบพอๆกัน แต่ภายใต้ความที่ดูเหมือนไม่มีอะไร มันมีหลายอย่างดีๆที่ซ่อนอยู่ที่เราคิดว่าดีกว่ารุ่นพี่ที่แพงกว่า และออกมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะความโอ่อ่าของเสียงและบึ้บบั้บของเบสนี่ล่ะ หูฟังรุ่นนี้ยัง Tuning By AKG เช่นเคย
แกะกล่องลอง Samsung Galaxy Buds 2
เอาตรงๆ คือมันมีที่แกะกล่องออกมาคือดูจะผิดวิสัยหูฟังค่ายนี้อยู่สักหน่อยคือหน้าตามันดูเรียบมาก แม้ว่าจะที่มีวางจำหน่ายนั้นมีอยู่ 4 สีด้วยกันก็เถอะ แต่สิ่งที่ทางค่ายพัฒนาคือการที่ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียงข้างละ 5 กรัม และใส่ไม่หลุดร่วงง่าย ปลอกหูฟังซิลิโคนที่ให้มา 3 ขนาดนั่นก็นุ่มให้ความยืดหยุ่นที่ดี .. คือเอาตรงๆ ว่า เราเคยซื้อ Airpods 3 มายังใส่แล้วร่วงใส่แล้วหล่นบ่อยกว่าหูฟังตัวนี้เยอะเลยที่โยกยังไงก็ไม่หลุด
ในส่วนไมโครโฟนจะมีอยู่ 2 ตัวคือด้านนอกและด้านใน เหตุผลที่ต้องมี 2 ตัวก็คือไว้รับสัญญาณเสียงจากตอนที่เราพูดแล้วก็สัญญาณเสียงจากด้านนอกซึ่งอันนี้เป้นสิ่งที่ทางแบรนด์พัฒนาสืบเนื่องมาตลอด ในราคาเท่านี้สิ่งที่คุณได้จากหูฟังก็คือ Active Noise Cancelling ซึ่งเขาว่าสามารถป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้สูงถึง 98 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการเชื่อมต่อกับ iPhone นั้นก็ให้คุณภาพเสียงที่ดี แต่เพียงแต่ว่าสิ่งที่หายไปนั้นก็จะเป็นในเรื่องของระบบการตัดเสียงรบกวนหรือว่าเลือกเสียงจากภายนอกเข้ามาผ่าน Ambient Sound ตัวหูฟังมีน้ำหนักที่เบามากคือน้ำหนักเพียง 5 กรัมเท่านั้นในแต่ละข้างซึ่งจุกนั้นจะมีใน 3 ขนาดคือเล็กกลางใหญ่แฟรี่แลนด์สามารถใช้ได้นานถึง 4-5 ชั่วโมงนั่นคือมาตรฐานของหูฟังทั่วไปแต่รุ่นนี้สามารถฟังได้นานถึง 7.5 ชั่วโมง และถ้าใส่ตลับก็จะสามารถฟังได้นานถึง 21.5 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าในหูฟังขนาดเดียวกันที่มีสักวางขายในท้องตลาดหูฟังรุ่นนี้สามารถฟังได้ต่อเนื่องยาวนานเป็นระดับต้นๆ
ในเรื่องของ Eco System ถ้าคุณใช้ Smart Watch ของ Samsung คุณก็สามารถดูปริมาณแบตเตอรี่ได้จากที่นาฬิกา Galaxy Watch แล้วยังรองรับ Auto Switch ระหว่างสมาร์ทโฟนกับแท็บเล็ต
หลังจากที่ใช้ชีวิตกับหูฟังรุ่นนี้มาพักใหญ่ ตั้งแต่ลองหูฟังของค่ายนี้นี่คือถ้าไม่นับตัว Head Phone ราคาเรือนหมื่นที่เคยนำเข้ามาเมื่ออดีตอันนานโพ้น นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดตั้งแต่ฟังมา เราชอบมันมากว่าน้องถั่วซะอีกทั้งแง่เสียง และความสบายในการใส่ เป็นหนึ่งในหูฟังที่เราได้ลองในปีนี้แล้วไม่อยากคืน
บน Android นั้นจะใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Galaxy Wearable แต่สำหรับ iPhone นั้นซอฟต์แวร์ยังไม่มีการอัพเกรดให้สามารถใช้งานร่วมกันได้จนถึงตอนนี้แต่ว่าก็ยังสามารถ Pair เพื่อใช้งานได้ตามปกติโดยผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth และส่วนของ EQ นั้นก็ใช้ของตัว iOS แทน
ในส่วนของแอปที่ใช้ควบคุมบน Android จะเป็น Galaxy Buds สามารถดาวน์โหลดจาก Play Store
การเชื่อมต่อกับหูฟังไม่มีอะไรยาครับ คือชาร์จแบตเตอรี่หูฟังให้เต็ม > เปิดฝาหูฟัง > เปิดแอป แค่นี้ก็จบแล้ว
ซึ่งในตัวแอปจะมีเมนูที่จำเป็นสำหรับควบคุมหูฟังอย่าง Equalizer ,Earbud fit test , Software Update
ซึ่งเราสามารถดูปริมาณแบตเตอรี่ได้จากในตัวแอปครับทั่งฝั่งของหูฟังหรือว่ากล่องหูฟังว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ที่เท่าไหร่
ในส่วนของ Noise Control ถ้าเราเลื่อนมาด้านซ้ายคือ Active Noise Cancelling นั่นคือารตัดเสียงรบวนออกไป ซึ่งจากที่เราลองใช้งานโดยเสียบหูฟังนั่งอยู่หน้าทีวี ความดังของเสียงทีวีหายไปเลยราวๆ 95% แล้วถ้าเราเปิดเพลงบน Device ที่เชื่อมต่อนี่คือไม่ได้เสียงอื่นมาวนอีกเลย ในขณะที่ถ้าเลือก Ambient Sound ก็จะเป็นการดึงเสียงภายนอกเข้ามา เพื่อให้เราสามารถฟังเสียงภายนอกด้วยเพื่อความปลอดภัยในบางช่วงจังหวะ
ในแง่ของชุด EQ ที่ให้มานั้น Bass Boost เพื่อขับย่านต่ำออกมา Soft หรือ Dynamic แต่จากที่เราลองตรงๆ คือ Treble Boost มีโอกาสที่จะถูกใช้มากกว่า
และคุณสมบัติอย่าง Earbud fit test นั่นด้วยความที่เป็นหูฟัง in ear การใส่เข้าหูช่องหูให้พอดีเพื่อคุณภาพเสียงที่สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ควรทำซึ่งในตัวแอปจะบอกเราว่า เราใส่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง ส่วน Equalizer จะไม่ได้มาเป็นย่านความถี่แบบที่เราเลือเองแต่จะเป็นแบบตัวเลือกที่เขามีมาให้
TIPS : ถ้าเราดค้างที่หูฟัง จะเป็นการเรียกใช้งานคำสั่ง
กด 1 ครั้ง = เล่น และหยุดเพลง
กด 2 ครั้ง = เล่นเพลงถัดไป
กด 3 ครั้ง = เล่นเพลงก่อนหน้า
กดคาไว้ = เลื่อนซ้าย-ขวา เพื่อควบคุม Active Noise Control
แกะกล่องลองฟัง Samsung Galaxy Buds2
ANTLV – AUTTA
เราลองกับเพลง Hip-Hop ที่เบสลงหนักจัดๆ มีการกระพือของเสียงอย่าง AUTTA คือเสียงร้องอาจจะค่อนข้างจมๆ ไปหน่อย แต่แต่ระมิติเสียงที่แผ่ออกด้านข้างทั้งซ้าย-ขวาหูฟังทำให้รู้สึก ถึงการถ่ายทอดมิติของเพลงหูฟังตัวนี้ทำได้ดีเลย จริงๆ เพลงนี้มีรายละเอียดเยอะนะ แต่พอฟังกับ in-ear กลายเป็นว่าความกระพือของเบสเลยจะเด่นจนกลบอย่างอื่นเยอะอยู่
Reflection (2020) – Christina Agirela
เราเลือกเวอร์ชั่นนี้มาเพราะความอัลงการในการบัรนนทึกเสียงใหม่นี่ล่ะ ในช่วงราคา 3,000-4,000 รนี่น่าจะเป้นหูฟังที่วให้ย่านต่ำที่ดูโอ่โถงที่สุดแล้ว เมื่อเราปรับ EQ เสียงที่ Flat คือให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการฟังลำโพงใหญ่ เพียงแต่เสียงี้องอาจจะดูถอยลงด้นหลังเยอะหน่อย แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าย่านต่ำอาจจะเยอะไปลองปรับ EQ ให้เบสต่ำลงกว่านี้หน่อยก็ได้ครับ
Ai Yo Kienaide – City Hunter
เราย้อนไปช่วง J-Pop ยุค 80’s ดูบ้าง คือจะว่าไปหูฟังคู่นี้ทำหน้าที่ ในการดึงความลึกของเพลงออกมาได้พอสมควร คือความแหลมนี่อาจจะไม่ได้กรุ๊งกริ๊งมาก แต่เสียงหนังกลองกลอง และมิตินีที่สัมผัสได้ถึงแรงตึงผิวเลยล่ะ สิ่งที่หูฟังได้ได้ค่อนข้่างดีคือ ความโอบล้มนี่ล่ะ คือฟังแล้วรู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่กลางร้านเหล้าแถวหน้า แล้วได้ยินเสียวคีย์บอร์ดพุ่งใส่หน้า ตอดกับมากีตาร์
The Matrix Resurrections Soundtrack – Johnny Klimek & Tom Tykwer
เราติดใจในความโอ่อ่าของเสียง และมิติกับหูฟังตัวนี้มาพักนึง จนเราเลือเพลงนี้มาพัง เอาจริงๆ คือถ้าชอบดูหนังบน Smart Phone หรือ Tablet ที่เพลงประอบอลังการงานสร้าง แจ่งบประมาณไม่เกิน 4,000 บาท นี่คือหูฟังที่คุณควรพิจารณาครับ คือเครื่องสาย และเสียงซินธิ์ในเพลงนี่พร้อมกระโจนพุ่งใส่หูคุณซ้ายขวาได้ตลอดเลยล่ะ ถึงมันจะไม่ได้แหลมออกมาชัดขนาดนั้นก็เถอะ แต่ความตู้มต้ามโครมครามนี่มาเต็ม มวลเสียงความหนานี่ให้มาค่อนข้างเยอะกว่าหูฟังช่วงราคาเดียวอยู่ คือถ้าอยู่นอกบ้านแล้วอยาได้ความรู้สึกใกล้ๆเวลาฟังชุด Home Theater เล็กๆ ก็พอกล้อมแกล้มนะ
ซื้อดีมั้ยหูฟัง Samsung Galaxy Buds 2
ถ้าวัดกันที่หน้าตาเราบอกเลยว่า..จืดสนิท
แต่บางทีสิ่งที่น่าสนใจคือ คือการที่หูฟังสักคัวตามหน้าที่ของมันได้ดี มันอาจจะมีค่าว่าความหวือหวานะ
สิ่งที่เราสัมผัสได้ในสองอย่างแรก คือ stage เสียงออกจะกว้างกว่าหูฟังในเรทราคาเดียวกัน และถ่ายทอดความเป็นอคูสติค
เสียงกีตาร์ที่เป็นโลหะออกมาเรียงเม็ดได้ชัดเจน สำหรับเพลงที่เดินเรื่องด้วยกีตาร์โปร่ง คือการตอบสนองในย่านความถี่ค่อนข้างจะว้างเลยทีเดียวสำหรับรุ่นนี้
จำเป็นต้องปรับมั้ยสำหรับเรื่องของ EQ เราทดลองฟังแบบ Flat เลย คือเบสให้มาลูกใหญ่มากกว่าที่เราจะคาดไว้เมื่อเทียบกับหน้าตา
ที่มาแบบดูเรียบๆ
เราคงเหมือนหลายคนที่ใช้ iOS ที่คงอยากได้ประสิทธิภาพจากซอฟท์แวร์ที่ช่วยควบคุมให้สามารถใช้งานได้สะดวกขึ้น
เหมือนที่ชาวหุ่นเขียวทำได้เพราะซอฟท์แวร์หยุดพัฒนาไปพักนึงแล้ว นั่นเท่ากับว่าถ้าอยากจะใช้ให้เต็มประสิทธิภาพคงต้องใช้บน Android นั่นล่ะ
สรุปสั้นๆคือ ก็เป็นหูฟังที่เบสเข้มๆ เต็มๆช็อคโกแลตเหมือนเวลาเอาขนม Brownie ใส่ปาก และความจัดจัดจ้านโอ่อ่าในบาที เหมือนเวลาที่ซู้ดปาดปากเวลาอยากทานกระเพราะเนื้อนั่นล่ะ! หูฟังวางจำหน่ายในราคา 3,590 บาท
ขอบคุณ : Samsung Thailand เอื้อเฟื้อสินค้าในการทดสอบครับ